มีคนเคยกล่าวว่าถ้าอยากเข้าใจคนอื่นเราต้องรู้จักและเรียนรู้ตัวเองให้ดีเสียก่อน ‘กระทิง-ขุนณรงค์ประเทศรัตน์’ ชายหนุ่มที่พยายามทำความรู้จักตัวเองมาตลอดจนล่วงเข้าสู่วัย 26 เขายังคงค้นหาตัวเองและไม่หยุดพัฒนาพร้อมไปกับการทำความเข้าใจผู้อื่น รวมถึงทำความเข้าใจทุกคาแร็กเตอร์เมื่อทำหน้าที่เป็นนักแสดงบทบาทในละครเรื่องล่าสุด ‘แค้นรักสลับชะตา’ ท่วมท้นไปด้วยคำชมหัวใจสำคัญที่ส่งให้กระทิงมาถึงตรงนี้ได้…อยู่ในคำตอบของเขาทั้งหมดแล้ว
ที่มาของชื่อกระทิง
“แม่กลัวเป็นกะเทย เพราะเขาบนไว้ว่าอยากได้ลูกผู้หญิงคนสุดท้อง แล้วหน้าผมเหมือนผู้หญิงเลย แม่บอกต้องแก้บนแล้วล่ะ ยายบอกว่างั้นตั้งชื่อแก้เคล็ดแบบให้ดื้อไปเลยแล้วกัน”
กระทิงสมัยวัยรุ่นเป็นแบบไหน
“ผมมีพี่ชาย 3 คน ผมเป็นคนที่ยิ่งบังคับจะยิ่งต่อต้าน บางอย่างก็คิดว่าเราทำถูกแล้ว แต่บางทีก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปบ้าง ผมเป็นคนแบบว่าอยากทำอะไรถ้าผมชอบ ผมทำเต็มที่เลย แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอาเลย ที่บ้านจะไม่บังคับ แล้วแต่ที่เราอยากทำเลย เขาแค่บอกว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ถ้าเรารับได้กับผลที่ตามมาจากสิ่งที่เราเลือก เขาก็โอเค คือเขาจะเตือน แต่ไม่บอกว่าต้องทำอย่างนี้ๆ แค่บอกว่าเราจะเจอกับอะไร แล้วเรารับได้ไหม”
ทราบว่าจริงจังกับการเล่นบาสมาก
“ใช่ครับ ตอน ม.2 เรารู้สึกว่าตัวเองด้อย ไม่มีอะไรเด่นเลย พยายามหาอะไรที่ทำให้เรามีจุดยืน เห็นความสำคัญในสิ่งที่เรามี ตอนแรกหาหลายอย่างเลยนะว่าอยากเล่นอะไร ลองไปเตะบอลก็ไม่สนุก แต่พอเล่นบาสนี่ผมรู้สึกว่าเหนื่อยนะ แต่อีกวันผมสามารถตื่นไปเล่นได้อีก คิดว่าสิ่งนี้แหละที่จะทำให้ผมมีวินัยกับชีวิตตัวเอง เราอยากเก่งด้านนี้ แรกๆ ก็เล่นเอาสนุก พอผ่านไปสองสามเดือนผมเริ่มอยากแข่ง หลังจากนั้นก็แข่งมาเรื่อย ช่วงนั้นตั้งเป้าไว้ว่าอยากติดเยาวชนทีมชาติ แล้วก็มีโอกาสไปได้คัดตัวแต่ไม่ติด หลังจากนั้นก็มาเจอการแสดง ผมรู้ว่าเราเข้ามาแบบไม่มีพรสวรรค์ เราไม่เก่ง แต่ผมชอบมันและอยากทำไปเรื่อยๆ”
ความรู้สึกแรกตอนที่เข้ามาวงการ
“ฟีลแรกคือ ‘ใช่’ ที่ของผมหรือเปล่าวะ มันใช่สิ่งที่ผมทำได้เหรอ อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน ผมไม่ดูละครด้วย แวบแรกที่ผมอยากทำตอนนั้นคือรู้สึกว่าได้เงินไว แล้วเด็กทุกคนก็ฝันว่าอยากดูแลพ่อแม่ได้ ผมอยากให้แม่ยอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ คือผมคิดแค่นี้ แต่พอเข้ามาจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่หน้าตาดีอย่างเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ ผมคิดว่ามันต้องใช้ฝีมือ
การแสดงเหมือนเป็นศิลปะอีกแบบหนึ่งที่ไม่จำเจ คือเวลาผมถ่ายเรื่องนี้ ผมต้องเป็นคนนี้ แต่พอถ่ายอีกเรื่องหนึ่ง ผมต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ท้าทาย ได้เห็นมุมมองต่างๆ เยอะขึ้น แล้วก็ได้สังเกตตัวเองมากขึ้น เพราะว่าเวลาเราทำการบ้านเกี่ยวกับตัวละครที่มีนิสัยแบบนี้ แบ็กกราวด์เป็นแบบนี้้ ผมจะต้องหาว่าเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้ ทำให้ผมเริ่มเข้าใจคนเยอะขึ้น แล้วเราก็จะกลับมาเข้าใจตัวเองด้วยว่า เวลาเรารู้สึกอย่างนี้มันเป็นยังไง พอเราเริ่มสังเกตตัวเองก็ทำให้ผมเข้าใจตัวเองเยอะขึ้น”
ยังต้องทำความเข้าใจกับตัวเองอีกเหรอ
“ผมรู้สึกว่าผมยังหาตัวเองอยู่นะ ผมเคยคิดว่าสรุปแล้วกูเป็นคนยังไงวะ แรกๆ ตอบตัวเองไม่ได้ พอมาเริ่มเรียนการแสดงก็อ๋อ รู้ละว่าเราเป็นคนอย่างนี้ๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเอง จะหมกมุ่นว่าผมอยากแก้ไขอะไรในตัวเองที่ไม่ชอบ ผมจะได้รักตัวเองมากขึ้น เหมือนเราดูตัวเองใช่ไหม แล้วเราเกลียดที่สุดเลยเวลาเราทำแบบนี้ แต่มันเป็นนิสัยที่เราทำไปโดยอัตโนมัติ เพราะเราทำมาบ่อย อย่างผมเป็นคนช่างมันเหอะ โดยที่มันไม่ได้มีปัญหากับผม ผมก็จะพยายามบอกตัวเองว่า เอ้ย! ไม่ได้ เพราะในอนาคตมันอาจจะกระทบคนอื่น”
บอกได้ไหมว่าอะไรในตัวเองที่เราชอบและไม่ชอบ
“ผมมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ง่ายมาก ซึ่งอันนี้ดี เป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ ผมจะคิดเยอะเฉพาะเรื่องที่ตัวเองชอบหรือตั้งใจ ถ้าเรื่องไหนปล่อยจะปล่อยเลย ข้อเสียคือผมเป็นคนที่ชิลล์เกินไปในบางที ทำให้เราไม่ค่อยละเอียดกับบางอย่าง อีกอย่างคือเวลาอารมณ์ร้อน ผมจะไม่ชอบตัวเอง เพราะผมควบคุมตัวเองไม่ได้ คือผมโกรธยากไงครับ แต่เวลาโกรธเราจะไม่สนใจสิ่งที่เราทำ แต่ผ่านไปสักพักพออารมณ์ดีก็เริ่มคิดละ ‘เขาจะเป็นยังไงบ้าง เราพูดอะไรไปบ้างวะเนี่ย’ ผมอยากหาจุดที่มันพอดีกับตัวเอง ช่วงนี้ก็จะโฟกัสกับการพัฒนาตัวเอง อะไรที่ชอบ อะไรที่อยากแก้ หาตัวเองให้เจอจริงๆ”
กระทิงเป็นคนคิดมากหรือเปล่า
“ไม่ครับ อะไรที่ควบคุมไม่ได้ ผมจะปล่อยไปเลย ผมจะทำแค่สิ่งที่ผมควบคุมได้ ผมจะไม่กังวลกับสิ่งที่เหนือการควบคุมของผม”
ตลอด 5 ปีที่อยู่ในวงการ มีเดดไลน์ให้ตัวเองไหมว่าถ้ายังไม่ได้เป็นพระเอก เราจะรอจนถึงเมื่อไร
“เคยคิดไว้ครับ ถ้าจะพูดว่าเราไม่ดูตำแหน่งก็เป็นไปไม่ค่อยได้ ผมตั้งไว้ว่าถ้าผมยังไม่ success กับสิ่งนี้ก่อนอายุ 30 ผมต้องหาทางสำรองแล้ว ผมคิดว่า 30 เราต้องมีจุดยืนแล้วว่าทำอะไรได้บ้าง มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน มีเวทีให้เราแสดงได้ ไม่งั้นเราจะไม่พยายามครับ ผมว่าตอนนี้ผมก็ยังเดินทางอยู่ ถ้าถามว่าผมประสบความสำเร็จในอาชีพหรือยัง ผมว่าถ้าเต็ม 10 ผมอาจจะให้ตัวเองสัก 6-7 เพราะเราไม่ได้เล่นเก่งสมบทบาททุกเรื่อง ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ”
แล้วในระหว่างนั้นมีช่วงท้อบ้างไหม
“มีครับ อย่างที่บอกว่าผมเคยคิดว่ามันใช่ที่ของเราหรือเปล่า แต่พอทำไปสักพัก ผมก็เฮ้ย มันสนุกนะ มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่าอยากไปถ่ายละคร ผมโดนด่าบ่อยมากนะในกอง เพราะแรกๆ ผมเล่นแย่มาก ยังไม่กล้าดูตัวเองเล่นเลย (หัวเราะ) แต่ผมเต็มที่แล้วนะในตอนนั้น แค่ผมยังไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง เลยขอไปเรียนเพิ่ม ผมอยากเรียนให้มั่นใจจะได้พัฒนาตัวเองด้วย เพราะตอนแรกเราโฟกัสผิดจุดว่าเราต้องการแค่เงิน แต่ตอนนี้ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบ เป็นอะไรที่ผมอยากทำ โควิดมาทำให้ไม่ได้ไปถ่ายละคร แต่ผมรู้สึกอยากไป คิดว่าสองสิ่งที่ผมชอบในชีวิตก็คงเป็นบาสกับการแสดงนี่แหละ
การแสดงมันแปลกอย่างหนึ่ง คือผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องมาสู้ ทั้งที่จะทิ้งไปแล้ว คงเหมือนผมอยากเอาชนะตัวเองด้วย ผมอยากรู้เหมือนกันว่าจะทำได้ไหม ผมถามตัวเองว่าจริงๆ ที่เล่นไม่ได้เพราะข้ออ้างหรือเปล่าที่เราบอกว่าอาย เล่นละครไม่ได้ หรือว่าเรายังทำไม่เต็มที่ ผมเลยลองดู พอทำไปแล้วผมรู้สึกว่าวันไหนที่ผมเล่นละครได้ ผมจะแฮปปี้มาก วันไหนที่มีคนชม ผมจะรู้สึกว่าโอ้โห เนี่ยดีที่สุดสำหรับผมเลย คนอื่นกลับบ้านไปเขาก็เป็นปกติ แต่ผมไม่ได้โดนชมบ่อยๆ ไง ผมจะขับรถแบบยิ้มไปร้องเพลงไป กลับบ้านนอนยังมองเพดานและยิ้มอยู่เลยอะ”
ตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปไหม
“ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนนะครับ อย่างเรื่องความรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ความมีวินัยกับตัวเอง เมื่อก่อนผมถ่ายละคร ผมไม่ได้ทำงานหนักขนาดนี้ แต่หลังๆ พอเรารู้สึกว่าชอบ เราสามารถจดจ่อกับมันได้นานขึ้น โดยไม่ได้รู้สึกว่าแค่นี้พอแล้ว แต่เราจะต้องให้มันได้ก่อน อย่างเช่นการเขียนแบ็กกราวด์ตัวละคร มันไม่มีในบทหรอกครับ แต่ผมจะเขียนขึ้นมาเองว่าตัวละครนี้เจออะไรมาบ้าง ผมต้องเข้าใจเขาเยอะๆ เหมือนตัวเราเองน่ะ แล้วเอามาเรียงเป็นไทม์ไลน์ ซึ่งผมจะเขียนแล้วดูว่าเราเอาไปใช้พอหรือยัง มันเป็นตัวละครได้หรือยัง หรือมันมีชีวิตขึ้นมาหรือยัง”
ทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต เราตัดสินใจเองหรือเปล่า
“ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าอยากเลือกเองมากกว่า ผมอยากเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ถ้ามีคนบอกว่าอย่าเลยต้องไปอีกแบบนึงนะ แต่ในใจผมรู้สึกว่าเลือกอันนี้ ผมก็จะเลือกอันนี้ ผมรู้สึกว่าถ้าเลือกเอง ผมตัดสินใจเอง ผมจะไม่เสียดายอะไรเลย ต่อให้ผลเป็นยังไงก็ช่างเหอะ แต่ผมต้องเป็นคนตัดสินใจชีวิตตัวเอง ถ้ามันเป็นเรื่องของผมนะ ผมจะคิดอย่างนี้ตลอด เพราะต่อให้มันผิด เราจะได้รู้ หรือถ้ามันถูก ผมจะรู้สึกเอ้ย เราฟังตัวเองอยู่”
ถ้าต้องเลือกระหว่าง ‘คนที่ประสบความสำเร็จ’ กับ ‘คนที่มีความสุข’
“ผมอยาก success นะครับ ผมรู้สึกว่าถ้า success ผมจะมีความสุข เพราะว่าเรามีเป้าหมายที่จะทำ แล้วพอทำสำเร็จมันจะแฮปปี้มากเลยนะที่เราไปถึงจุดที่ต้องการ เหมือนเราผ่านมาได้ มันมีอะไรที่ผมรู้สึกว่าก็ยังเครียดบ้าง มันเป็นระหว่างทางที่เราจะไปถึงเป้าหมาย มันสนุกครับ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกที่มันแฮปปี้เฉยๆ เลยเนี่ยเหรอ แฮปปี้ไปวันๆ (หัวเราะ) ไม่ไหวนะ”
Photographer: Adison Rutsameeronchai
Fashion Editor: Watcharachai Nun-Gnam
Writer: Angkana Wongwisetpaiboon
Makeup & Hair: Satanun Graisorn
Photographer Assistant: Anurak Duangta
Stylist Assistant: Sittikorn Ru-arn