ไม่ว่าจะตราตรึงในความงาม ฉงนในความกว้างใหญ่ไพศาล หรือกระหายความรู้ การเฝ้ามองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าได้เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์มานานแล้ว ไม่ว่าจะนักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงศิลปิน นักเขียน หรือนักออกแบบ เช่นที่เมซง แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เพลส์ซึ่งมีผลงานมากมายแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในความงามของท้องฟ้า ทั้งเข็มกลัดรูปดาวในปี 1904 หรือในนาฬิกาคอมพลิเคชั่นที่แสดงตำแหน่งดวงดาวเคราะห์ที่มองเห็นได้จากโลก
“เมซงให้ความสนใจต่อจินตนาการอันบังเกิดขึ้นระหว่างเฝ้าสังเกตดูความงามในธรรมชาติมาตลอด” นิโคลาส์ บอส ประธานและซีอีโอของแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เพลส์ เกริ่นนำถึงผลงานไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่นล่าสุด ‘Sous les Etoiles’ หรือ ‘ใต้ดาวดารดาษ’ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากงานเขียนที่เชื่อมโยงกับดวงดาว หลังจากเคยสร้างสรรค์คอลเลกชั่น Les Voyages Extraodinaires ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ของจูลส์ เวิร์น เมื่อสิบปีก่อน “สำหรับคอลเลกชั่นนี้ เราต้องต่อยอดจากการผจญภัย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นโดยจูลส์ เวิร์นไปสู่นักเขียนยุคคลาสสิกอีกท่าน นั่นคือลูเซียงแห่งซาโมซาตา ผู้จินตนาการถึงการเดินทางท่องอวกาศมาตั้งแต่ยุคอารยธรรมเมโสโปเตเมีย จนถึงโยฮานส์ เคปเลอร์ กับบทความสร้างแรงบันดาลใจของเขาภายใต้หัวข้อ ‘ความฝันหรือดาราศาสตร์จันทรคติ’ (The Dream, or Lunar Astronomy) ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 และกามิลล์ ฟลามาริยง ผู้ตีพิมพ์ผลงานประกอบภาพวาดสุดมหัศจรรย์ Astronomie Populaire เมื่อปี 1880”
“The spectacle of the starry sky attracts us, envelops us, speaks of infinity, communicates a dizzy sense of the abyss; for, more than anything else, it grasps and calls out to the contemplative soul…”
-L’Astronomie populaire by Camille Flammarion-
ในการสร้างสรรค์คอลเลกชั่น Sous les Etoiles ซึ่งประกอบด้วยผลงาน 150 ชิ้น เหล่านักออกแบบ ช่างทำเครื่องประดับ และนักอัญมณีศาสตร์ ได้ร่วมกันนำความหลงใหล และรสนิยมส่วนตัวของตนมาผสมผสาน เริ่มจากการร่างแบบด้วยสีกวอช (gouache) บนกระดาษ จนกลายเป็นเครื่องประดับหลากสีสันตกแต่งด้วยมวลรัตนชาตินานาชนิด ทั้งแซฟไฟร์สีน้ำเงินที่ทวีความล้ำลึกด้วยการใช้เหลี่ยมเจียระไนแบบต่างๆ เคียงข้างประกายของเพชร สะเก็ดแร่ไพไรต์ในเนื้อพลอยลาพิสลาซูลี และสีเขียวสดแสงแห่งมรกต การคัดสรรอัญมณีต่างๆ ล้วนดำเนินไปตามมาตรฐานเคร่งครัดเพื่อนำมาช่วยทวีความโดดเด่นให้แก่เส้นสาย และทรวดทรงสไตล์กราฟิกทางงานออกแบบสร้างสรรค์
หนึ่งในผลงานเด่นคือเซ็ต Céphéide ซึ่งตั้งชื่อตามดาวแปรแสงซึ่งเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่มีการแปรเปลี่ยนทางระดับความสว่างอยู่ตลอดเวลา ต่างจากดาวฤกษ์ทั่วไป ทาง Van Cleef & Arpels จึงเลือกนำเสนอโดยอาศัยลูกเล่นการไล่ลำดับเฉดสลับสีของรัตนชาติต่างๆ เพื่อถ่ายทอดลักษณะการผันแปรทางระดับแสงส่องสว่างของมวลดาวฤกษ์ได้อย่างสมจริง ประดับด้วยแซฟไฟร์สีม่วง ซาวอไรต์ และเพชรใสสกาว ร้อยสลับกับคาลซีโดเนียเจียระไนทรงหลังเบี้ย 11 เม็ด น้ำหนักรวมสูงถึง 159.72 กะรัต ส่วนจี้ซึ่งปลดออกมาเป็นเข็มกลัดได้ ประดับด้วยคาลซีโดเนียเม็ดเดี่ยวล้อมแทนซาไนต์สองสีเจียระไนทรงเหลี่ยมบาแก็ตต์ 21 เม็ดสลับไล่โทนจากฟ้าสู่ม่วง
อีกชิ้นที่งดงามตราตรึงก็คือ Ison กำไลที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากไอซอน ดาวหางคาบยาวจากแดนเมฆาของออร์ต (Oort Cloud) สันนิษฐานว่าเป็นซากละอองไฟตกค้างมาตั้งแต่ระบบสุริยะก่อตัว และเป็นถิ่นที่อยู่ของดาวหางจำนวนมาก ซึ่งโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์แบบเฉียดพื้นผิว และผ่านจากไปโดยไม่สลายตัวเมื่อปี 2013 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่หาได้ยากยิ่งครั้งนั้นดลใจให้เมซงสร้างสรรค์เครื่องประดับอันถือเป็นงานออกแบบสุดท้าย โดยการฝังรัตนชาติไล่เรียงเป็นแนวเส้นหางฝุ่นพวยพุ่งออกมาจากก้อนลูกไฟหัวดาวหางหรือ ‘นิวเคลียส’ เพชรกลมหลากขนาดสุกสว่างตัดกับทับทิมทรงเหลี่ยมที่ใช้เทคนิคการฝังแบบซ่อนหนามเตย (Mystery Set) หนึ่งในเทคนิคสัญลักษณ์ประจำของเมซง