Saturday, April 20, 2024

L’Officiel Muse มินนี่-ณิชา ยนตรรักษ์ สมาชิกสาวไทยหนึ่งเดียวของวง (G)I-DLE

แฟนๆ ดนตรีเคป็อปคงรู้ว่า มินนี่-ณิชา ยนตรรักษ์ ซึ่งไปเดบิวต์เป็นศิลปินที่เกาหลี เธอเป็นสมาชิกของวงเคป็อป (G)I-DLE เกิร์ลกรุ๊ปที่กำลังมาแรงของค่าย Cube Entertainment ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 6 คน คือ โซยอน (เกาหลี) มิยอน (เกาหลี) อูกี (จีน) ชูฮวา (ไต้หวัน) ซูจิน (เกาหลี) และมินนี่ (ไทย) ซึ่งเป็นสาวไทยหนึ่งเดียว

หญิงสาวหน้าเก๋วัย 23 เติบโตมาพร้อมกับความหลงใหลในเสียงดนตรี โดยได้รับอิทธิพลจากคุณแม่และคุณลุงซึ่งเป็นนักดนตรี “ตอนเด็กๆ หนูอยากเป็นหลายอย่างมาก อยากเป็นนักร้อง นักเปียโน นักบิน นักมายากล แต่นักร้องเป็นสิ่งที่อยากเป็นมาตลอด แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นไปได้ ก็เลยแค่ฝันไว้” แต่ในวันนี้ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว จากการเรียนเปียโนมาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล ทดสอบผ่านการออดิชั่นและทำให้เธอต้องตัดสินใจจากเมืองไทยตั้งแต่เรียนจบมัธยม 5 ใช้เวลาฝึกซ้อมและเรียนรู้ทักษะต่างๆ รวมถึงภาษาเกาหลีในฐานะศิลปินฝึกหัดของค่ายที่เกาหลีนาน 3 ปี จนได้เดบิวต์เป็นศิลปินพร้อมกับเพื่อนๆ ในปี 2018 กับอีพี I AM พร้อมกับซิงเกิล Latata ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม

จนถึงตอนนี้ก็ครบ 3 ปีแล้วที่มินนี่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางเคป็อป มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบทบาทใหม่อันแสนท้าทาย ในโอกาสที่เธอกลับมาพักผ่อนเยี่ยมครอบครัวที่กรุงเทพฯ (แต่กลับมาเจอโควิดระบาดพอดี เลยยังไม่มีโอกาสไปไหน) เราจึงถือโอกาสนี้พูดคุยกับเธอถึงเรื่องราวต่างๆ  

-มินนี่เติบโตมาในครอบครัวนักดนตรี 

“หนูซึมซับเรื่องดนตรีมาจากคุณแม่ คุณแม่ชอบเปียโน เห็นแม่เล่นตั้งแต่เด็กก็อยากเล่นบ้าง เลยไปเรียน เริ่มจากคลาสสิกก่อนตอนอยู่อนุบาล 1 แล้วส่วนตัวชอบฟังเพลงอยู่แล้ว music is the biggest part of my life ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำตรงนี้ เพราะเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุข เราน่าจะทำได้ดี พอมีโอกาสได้ไปเกาหลีก็เลยไป”

-ถ้าพูดถึงความทรงจำ ดนตรีหรือบทเพลงไหนที่มีอิทธิพลต่อมินนี่

“ตอนเด็กๆ กำลังดูทีวีกับคุณแม่ แล้วก็มีมิวสิกวิดีโอเพลง A Thousand Miles ของ Vanessa Carlton รู้สึกชอบมาก เท่มาก ตั้งแต่ดูเอ็มวีนั้นก็จุดประกายความฝัน คิดว่าเราจะร้องเพลงและเล่นเปียโน ต้องเป็นศิลปินแบบนั้นให้ได้” 

-แล้วตอนที่ออดิชั่นแล้วได้ไปอยู่เกาหลี ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง 

“ตอนที่เขาติดต่อกลับมา คิดหนักมาก เหลืออีกปีเดียวก็จะจบมัธยมปลายแล้ว คุณพ่ออยากให้จบแล้วค่อยไป แต่ทางค่ายก็ไม่รอ เลยตัดสินใจนานมาก แล้วเราก็ติดเพื่อนด้วย แม่บอกว่ามันเป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเราอีกเมื่อไหร่ แล้วก็มีคนอีกตั้งเยอะแยะที่อยากมีโอกาสแบบนี้แต่ไม่ได้ ก็เลยให้ไปลองก่อนสามเดือน ถ้าไม่ชอบค่อยกลับ แต่พอไปลองแล้วชอบก็เลยตัดสินใจอยู่ต่อค่ะ ตอนอยู่ที่นั่นสามเดือนแรกร้องไห้ทุกวัน เพราะเราสื่อสารไม่ได้ เหงาค่ะ แต่โชคดีที่ทีมครูสอนเขาพูดอังกฤษได้ เลยจะคุยกับครูเป็นส่วนใหญ่ พออยู่ไปครึ่งปีภาษาเราเริ่มดีขึ้นก็เริ่มเอ็นจอย”

-การเป็นเมนโวคัลสำหรับมินนี่ยากและท้าทายอย่างไร ยิ่งอยู่ในวงเกาหลี ต้องร้องเพลงที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา

“มันยากมาก เราก็ไม่ได้ร้องเก่งขนาดนั้น ยังเคยคิดว่าเขาเห็นอะไรในตัวเรา ทำไมเขาถึงเลือกเรา แต่ระหว่างที่ฝึกก็ได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ได้พัฒนาตัวเอง ถ้าดูเทปคลิปที่เราออดิชั่นจนถึงวันนี้ เรามาไกลมาก เราพัฒนาเรื่องร้องเพลงเยอะมากด้วย ทำให้รู้สึกว่าถ้าเราตั้งใจ พยายามกับสิ่งนั้น เราก็ทำได้ อย่างเรื่องภาษา ก็ดีใจที่เขาให้เราเป็นเมนโวคัล อาจจะเป็นเพราะภาษาไทยออกเสียงได้เยอะด้วย พอฝึกร้องภาษาของเกาหลีมันเลยออกเสียงได้ชัด แล้วสำเนียงก็ฝึกได้ค่ะ”

-อยู่ในวงเกิร์ลกรุ๊ปเป็นอย่างไร

“หนูพูดมาตลอดว่าดีใจมากที่ได้เจอเมมเบอร์ห้าคนนี้และรวมเป็นวง 6 คน ทุกคนมีคาแร็กเตอร์ชัดเจนมาก แต่พอมารวมกันแล้วมันลงตัว มันเข้ากันได้ แล้วเราก็อยู่กันแบบครอบครัว อย่างเราไปอยู่ที่นู่น เราก็ไม่มีใครนอกจากเมมเบอร์ ซึ่งก็อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ก็อยากจะอยู่อย่างนี้ไปนานๆ” 

-ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงครบรอบ 3 ปีเดบิวต์และปล่อยซิงเกิลแรก Latata

“ใช่ค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้อยู่กับเมมเบอร์ในช่วงนี้ แต่ก็โทรหากันค่ะ รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว แล้วเราก็ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ โตขึ้นเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าความฝันเราเป็นความจริงแล้ว แต่ก็ยังมีทางที่อยากไปอีก ยังอยากทำตรงนี้อีกนานๆ” 

-เพลง Latata มีความหมายพิเศษสำหรับมินนี่อย่างไร

“เรียกว่าเป็นเพลงที่สร้างวง (G)I-DLE เลยก็ได้ค่ะ ก่อนเดบิวต์เราอัดเดโมกันหลายเพลงแต่ก็ยังไม่ใช่สักที จนโซยอนซึ่งเป็นลีดเดอร์ของวงแต่งเพลงนี้แล้วเอามาให้พวกเราฟัง แล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! มันเป็นเพลงของเรา เป็นเพลงที่บอกตัวตนของพวกเราได้ดีที่สุด และโชว์คาแร็กเตอร์ของเมมเบอร์แต่ละคนได้ดีที่สุด ทุกวันนี้พอฟังยังขนลุกอยู่เลย ทำให้นึกถึงช่วงก่อนเดบิวต์เพราะเราทุ่มเทและซ้อมกันหนักมากจริงๆ เลยรู้สึกว่าเป็นเพลงที่มีความหมาย”

-แล้วมีเพลงอะไรที่มีความหมายกับเราอีกไหม

“หนูชอบ Lion เรียกได้ว่าเป็นบิ๊กสเต็ปของวง เป็นการก้าวผ่านอะไรหลายๆ อย่าง ตอนที่เราออกรายการ Kingdom ซึ่งทำให้คนรู้จักเราเยอะมากขึ้น แล้วก็มีคนมาติดตามเราเพิ่มมากขึ้น จำได้ว่าตอนโชว์เพลงนี้ครั้งแรกในไลฟ์สดรอบไฟนอล มันตื่นเต้นมากกกกก แล้วหนูต้องร้องท่อนไฮโน้ตสดๆ ซึ่งถ้าพลาดก็จบเลย แต่เราผ่านมันมาได้ เป็นเวทีที่อลังการมากเลยค่ะ” 

-มินนี่แต่งเพลงด้วย มีจุดเริ่มต้นอย่างไรคะ 

“จริงๆ หนูอยากแต่งเพลงมานานแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่ไทย พอได้ไปเทรนก็บอกค่ายว่าอยากเรียนแต่งเพลง แต่ตอนนั้นภาษาเรายังไม่ได้ ก็เทรนที่เกาหลีอยู่ 2 ปีจนภาษาเราพอได้ ทางค่ายเลยให้เรียนแต่งเพลง มันท้าทายมากค่ะที่ต้องแต่งเนื้อเป็นภาษาเกาหลี หรือบางทีก็แต่งทำนองแล้วให้เพื่อนแต่งเนื้อ แต่หลังๆ มาหนูเขียนเนื้อเองแล้วให้ทีมงานช่วยเกลาภาษา โชคดีที่เรามีเบสิกเรื่องคอร์ดและเปียโนอยู่แล้ว ก็ช่วยได้เยอะค่ะ”

-แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากไหน

“ปกติจะเขียนตามที่ตัวเองรู้สึก ช่วงที่เราคิดอะไรออกก็จะรีบเขียน บางทีก็มีเดดไลน์ แต่พอเราฝืน มันจะออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้ ถ้าปล่อยให้เป็นธรรมชาติจะออกมาดี ส่วนใหญ่มินนี่จะถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดตอนนั้น หรือสิ่งที่เราชอบตอนนั้น อย่างเพลง Moon ก็อัดเดโมเป็นภาษาอังฤษก่อน พออัดเสร็จเอาไปให้โซยอนฟัง เขาชอบเพลงนี้มาก ก็เลยช่วยเขียนเนื้อให้”

-ล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี มีอัลบั้มใหม่ล่าสุดชื่อ I Burn เล่าเบื้องหลังให้ฟังได้ไหมคะ 

“เราทำอัลบั้มนี้ช่วงปลายปี 2020 เป็นช่วงที่หนูยุ่งมากเพราะถ่ายซีรีส์ I Wish the World Would End Tomorrow ของ Netflix ด้วย แล้วก็ต้องเตรียมงานประกาศรางวัลด้วย ทำสามอย่างในเวลาเดียว ปกติจะเลี่ยงไม่ทำช่วงนั้น แต่เพราะเราอยากปล่อยเพลงไตเติลที่ชื่อ Hwaa ในช่วงที่อากาศหนาวที่สุดในเกาหลี ซึ่งก็คือเดือนมกราคม เลยต้องกัดฟันทำแม้งานจะหนักมากๆ ตอนนั้นหนูถ่ายละครเสร็จ มาถึงค่ายก็ซ้อมต่อเลย แล้วก็อัดเพลงช่วงตี 1-3 ได้นอนสองชั่วโมงแล้วออกไปกองใหม่ มีบางเพลงที่หนูแต่ง เวลาเมมเบอร์เข้าห้องอัดก็ต้องไปอยู่ด้วย เราต้องไปกำกับว่าอยากได้แบบไหน บอกเลยว่าเป็นช่วงที่พีคมาก ไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อน แต่ก็ผ่านมาได้” 

-พูดถึงซีรีส์เรื่อง So Not Worth It เป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของมินนี่ เป็นอย่างไรบ้าง

“โชคดีที่บริษัทและ Netflix ให้โอกาสไปออดิชั่นค่ะ หนูรับบทนักศึกษาต่างประเทศ ซึ่งตอนแรกยังไม่ได้ระบุว่าเป็นชาติอะไร ความที่ไม่เคยเรียนแอ็กติ้งมาก่อน ผู้กำกับเลยให้เราเล่นตามที่เราเข้าใจ เขาคงเห็นบางอย่างที่เข้ากับคาแร็กเตอร์ หลังจากนั้นหนูก็เริ่มเรียนแอ็กติ้ง เรื่องนี้ถ่ายจบไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จะออนทาง Netflix ช่วงมิถุนายนนี้ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ เป็นซิตคอม สนุกๆ เราแสดงเป็นหนึ่งในตัวหลักแปดตัว”

-ถ้ามีโอกาสทางการแสดงเข้ามาอีกจะรับไหม แล้วมีบทในฝันหรือเปล่า

“หนูอยากเล่นอยู่แล้วถ้ามีโอกาสค่ะ ตอนแรกอยากลองแสดงที่ไทย ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้แสดงที่เกาหลี ถ้าพูดถึงบทในฝัน อยากลองบทที่ดาร์กๆ หน่อย ที่ได้ใช้อินเนอร์เยอะๆ แต่จริงๆ บทไหนก็อยากลองค่ะ”

-คอเมดี้เกาหลีเหมือนคอเมดี้ไทยไหม

“ไม่เหมือนเลยค่ะ ตอนแรกที่อ่านบทหนูไม่เข้าใจเลย ต้องให้ครูช่วยอธิบาย แล้วก็ไม่ใช่ตลกโบ๊ะบ๊ะ มันก็จะมีความสนุกตรงที่เป็นแก๊งเด็กต่างชาติที่มาเล่นมุกเป็นภาษาเกาหลี ซึ่งน่ารักดี” 

-ถามเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานบ้าง เวลาอยู่กับเพื่อน มินนี่เป็นสายไหน 

“ถ้าสมัยก่อนเวลาอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนสมัยประถม เพื่อนจะคิดว่าเราเป็นผู้นำ เพราะเป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานรุ่น แต่ถ้าเพื่อนที่สนิทจริงๆ จะรู้ว่าเป็นคนติงต๊อง โก๊ะๆ ถ้ามองผ่านๆ อาจจะคิดว่าเราแกร่ง ถ้าคนสนิทจะรู้ว่าเราเซนสิทีฟ อ่อนไหวง่าย”

-อยากทราบว่าใครมีอิทธิพลต่อความคิดของมินนี่

“คิดว่าอย่างแรกต้องเริ่มจากหนูเองก่อน หนูต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนยังไง ซึ่งยอมรับว่าเมื่อก่อนเราไม่ค่อยรู้จักตัวเอง อะไรก็ได้ แต่พอเริ่มทำงาน เจอคนเยอะขึ้น ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็ทำให้เราเริ่มรู้และชัดเจนว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร การได้เจอคนหลากหลายก็ทำให้เราดึงข้อดีของเขามาปรับใช้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีด้วยที่ได้มีโอกาสทำงานและเจอคนดีๆ เยอะ ทั้งเมมเบอร์ ทั้งทีมงาน เราก็ได้เรียนรู้จากทุกคน”

-ชอบทำอะไรเวลาอยู่เกาหลี

“ถ้าไม่ได้ทำงานจะชอบไปช็อปปิ้งคนเดียว เพราะเราเป็นคนใช้เวลาเลือกของนานมาก ถ้าพาเพื่อนไปจะทำให้เพื่อนเสียเวลา แล้วเราจะรู้สึกกดดัน ชอบดูโน่นนี่ของเราคนเดียว ลองชุดก็ลองแล้วลองอีก ถ่ายรูปแล้วส่งไปถามเพื่อน แต่ถ้ากินข้าวกับดูหนังคนเดียวก็ได้ แต่ไปกับเพื่อนก็ดี (เป็นผู้หญิงที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง?) จริงๆ แล้วแต่อารมณ์ค่ะ บางทีหนูก็โลกส่วนตัวสูง บทอยากอยู่คนเดียวในบางโมเมนต์ ไปขี่จักรยาน ไปเดินเล่นริมแม่น้ำฮัน เดินไปฟังเพลงไป มันเป็นการฮีลตัวเอง เป็นช่วงเวลาพักของเรา”

-เวลาต้องการคำปรึกษา ใครคือคนที่เราคุยด้วยได้

“จริงๆ แล้วแต่เรื่องด้วยค่ะ หนูคุยกับเมมเบอร์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ใช่เมมเบอร์ ที่คุยด้วยบ่อยสุดก็คือลิซ่า (แบล็กพิงค์) เพราะความที่เป็นคนไทย บางทีไม่ต้องพูดอะไรมาก มันจะคลิกกัน ก็เลยคุยกันบ่อย กลับมาอยู่ที่ไทยก็ยังโทรคุยกันเลย”

-ถ้าพูดถึงเป้าหมายชีวิตในระยะยาวของมินนี่

“หนูอยากทำงานกับวงไปนานๆ… คือหนูเป็นแฟนคลับซูเปอร์จูเนียร์มาตั้งแต่เด็กๆ ชอบตั้งแต่ยังเรียน ป.4 ต้องไปคอนเสิร์ตทุกปี ซื้อทุกอัลบั้ม จนวันนี้เราได้ไปออกรายการที่เขาเป็นเอ็มซี แล้วเขาเชิญเราไปคอนเสิร์ต คือแบบ Oh my God ฝันเป็นจริงมากๆ ถ้านับจากวันที่เขาเดบิวต์จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ส่วนเราจากแฟนคลับก็กลายมาเป็นศิลปินรุ่นน้องแล้ว หนูก็ยังเห็นพวกเขาทำเพลงและทำงานกันอยู่ หนูรู้สึกว่ามันเจ๋งมากค่ะ เราก็อยากจะทำงานกับวงของเราแบบนี้ไปนานๆ เผื่อว่าวันหนึ่งจะมีคนมองเห็นเราเป็นไอดอลแล้วมีแรงบันดาลใจทำเหมือนเรา เหมือนที่ซูเปอร์จูเนียร์เป็นไอดอลของเรา”

Photographer: Chatchanan Chantajinda

Stylist: Piphacha Vonpiankul

Writer: Pimpilai Boonjong

Makeup: Butsarin Wangwisan 

Hair: Noppasit Cheerakulltananan

Photographer Assistants: Chudchpong Aumponrat, Anurak Duangta

Stylist Assistants: Tanawat Nitithaiyapong, Naruemol Namkaew

Other Articles