เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา นักแสดงสาวที่กำลังมีผลงานละครเรื่อง ‘พายุทราย’ ออนแอร์ทางช่อง One 31 เป็นละครแนวโรแมนติกดราม่าและสืบสวนสอบสวน (นอกจากนี้เธอกำลังถ่ายละครเรื่อง ‘วิมานทราย’ ที่จะออกอากาศในช่องเดียวกัน) แฟนละครที่ติดตามผลงานเอสเธอร์มาตลอดจะต้องหลงรักเธอในบท ‘ทราย’ แน่นอน เพราะพายุทรายเป็นละครเรื่องแรกที่เธอพลิกบทบาททางการแสดง
“ปกติเอสเธอร์จะเล่นคาแร็กเตอร์เรียบร้อยค่ะ ค่อนข้างไม่สู้คน แต่เรื่องนี้เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างกล้า มั่นใจในตัวเองสูง ไม่ยอมคน เถียงมาก็เถียงกลับ ใครตบมาก็ตบกลับ เป็นผู้หญิงประมาณนี้ เลยไม่ค่อยเหมือนเรื่องอื่นที่เล่นมาน่ะค่ะ” เธอเล่าให้ฟัง

พอสวมบทบาทที่ฉีกแนวไปจากเดิมแล้วรู้สึกอย่างไร
“ชอบนะคะ รู้สึกท้าทาย เพราะด้วยความที่คาแร็กเตอร์แบบนี้ไม่เคยเล่นมาก่อน เป็นเหมือนสิ่งใหม่ที่ท้าทายให้เราได้ทดลองกับการแสดง ได้ค้นหากับตัวละครใหม่ๆ เหมือนต้องนับ 0 ใหม่และค่อยๆ เรียนรู้ไปกับมัน ถือว่าทำการบ้านค่อนข้างเยอะพอสมควรค่ะ เป็นการร่วมงานกับพอดีคำเอ็นเทอร์เมนต์ครั้งแรกด้วย จะต้องมีการเข้าไปถ่ายทำในป่า บู๊ด้วย เป็นอะไรที่ใหม่มาก มีทั้งเอฟเฟ็กต์ ยิงปืน ระเบิด คือเป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตเรา เพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องเล่นกับปืนจริง ใส่ลูกเอฟเฟ็กต์ที่เสียงดังจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ เหมือนเปิดโลกให้เรามากขึ้น”
เป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับฟิล์ม-ธนภัทรอีกด้วย
“ค่ะ เราไม่เคยเจอกันเลยนะคะ แค่เดินผ่านแวบเดียวในงานไหนสักงาน ก่อนร่วมงานกันก็คิดว่าพี่ฟิล์มน่าจะเป็นคนเงียบๆ อาจจะมีโลกส่วนตัวหรือเปล่า แต่พอร่วมงานจริงๆ เขาเป็นคนที่ไนซ์มากๆ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนช่างสังเกตคนอื่น หมายถึงว่าช่วยพี่ๆ ในกองถ่าย ช่วยเหลือนักแสดงกันเองด้วย เป็นผู้ชายที่ละเอียดอ่อนน่ะค่ะ เอเนอร์จี้เยอะมาก ทำการบ้านมาดีมาก ทำงานไม่เคยมีปัญหา เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบสูงเลย อยากจะร่วมงานกันอีกค่ะถ้าเป็นไปได้”
ช่วงนี้ต้องอยู่แต่บ้าน เหงา-เศร้า-ซึม ประมาณไหนคะ
“ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่ซึมค่ะ (หัวเราะ) ได้ใช้เวลากับครอบครัวเต็มที่เลยค่ะ เพราะว่ามีน้องสาวน้องชายอยู่ที่บ้าน ชวนกันเล่น TikTok แล้วก็ช่วยพี่เคนปลูกต้นไม้”

ในวัยเท่านี้ของเอสเธอร์ มีอะไรที่คิดว่ายากบ้าง
“น่าจะเป็นเรื่องธุรกิจค่ะ หมายถึงนอกจากงานแสดง ตอนนี้เอสเธอร์เปิดร้านอาหารค่ะ แล้วบวกกับช่วงโควิดเลยต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน การบริหารจัดการกับสิ่งที่เราไม่เคยมีความรู้มาก่อน ทำให้ต้องเรียนรู้ไปกับปัญหาที่เกิดขึ้น และเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา”
แล้วเอาอยู่ไหมคะ เล่าให้ฟังได้ไหม
“ต้องเรียกว่าเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าโควิดจะเข้ามา และส่งผลกระทบมากๆ เลย คืออาจจะเพราะเราเปิดร้านผิดจังหวะด้วย คือเราเปิดร้านอาหารช่วงมีนาคมปีที่แล้ว เปิดได้อาทิตย์เดียว โควิดมาเลย ลูกค้ายังไม่รู้จักร้านเรา และร้านยังไม่ได้เข้าร่วมระบบออนไลน์เดลิเวอรี่ต่างๆ เราลงทุนกับร้านไปเยอะ ทุกๆ อย่างเราลงทุนไปแต่ขายไม่ได้ ก็เลยตกใจนิดนึงว่า เอ๊ะ! ทิศทางร้านจะเป็นยังไงต่อ เลยพยายามแบกร้านไปก่อนช่วงนั้น เอาเงินส่วนตัวมาจ่ายค่าเช่าโน่นนี่นั่นให้ร้านรันต่อไปได้ แล้วพอช่วงที่อนุญาตให้เข้าไปทานในร้านได้ปกติก็ทำท่าว่าจะดีขึ้น แล้วก็มาช่วงนี้ค่ะ ที่แบบว่าเอาอีกแล้ว คิดว่าเราจะทำยังไงดีน้า ทานในร้านก็ไม่ได้ เลยหันมาเดลิเวอรี่มากขึ้น จัดส่งเองด้วยนอกจากจะเข้าร่วมเดลิเวอรี่ต่างๆ แล้ว ทางเราก็มีให้คนไปส่งเองตามบ้านด้วย เหมือนเปลี่ยนวิธีการโปรโมตน่ะค่ะ แต่ยังทรงๆ อยู่ มีความคิดว่าต้องอดทนนิดนึง เดี๋ยวขอดูอีกสักพักว่าจะไปในทิศทางไหน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
บริหารใจแบบไหนให้นิ่งได้
“อย่างแรกเลยคือใช้ความอดทนค่ะ เรารอคอยมากๆ ค่ะตอนนี้ รอดูไปว่าจะยังไง แต่คิดว่าถ้าถึงจุดนึงที่ว่ามันไม่ไหวแล้วก็คงจะต้องปล่อยมันไป แต่ยังคงเป็นช่วงที่รออยู่ค่ะ”
เวลาเครียดเรื่องงาน มีวิธีรับมืออย่างไร
“ไม่คิดเลยค่ะ หมายถึงว่าถ้าเราเครียดก็ไม่พยายามไปโฟกัสกับสิ่งที่เราคิด ไปหาอย่างอื่นทำก่อน เหมือนให้สมองเราคลายก่อนแล้วค่อยกลับมาคิดใหม่”
วิธีชาร์จพลังให้ตัวเอง
“คนในครอบครัวค่ะ ตอนนี้ทุกคนช่วยกันคิดช่วยกันปรับ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันค่ะ เลยเบาใจได้มากๆ เพราะไม่ใช่เราต้องดูคนเดียว ครอบครัวก็ช่วยด้วย มันเลยอุ่นใจว่าเราแก้ปัญหานี้ไปด้วยกันค่ะ”
3 สิ่งสวยงามบนโลกนี้ในสายตาของเอสเธอร์
1/ อย่างแรกคือครอบครัว
ความรักที่เรามีให้กันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สวยงามและลึกซึ้งมากๆ ค่ะ
2/ น้ำใจ
หมายถึงน้ำใจในตอนนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราได้เห็นพี่ๆ นักแสดงหลายคน หรือบุคคลในสังคมบริจาคเงินช่วยเหลือต่างๆ ทำให้เราได้เห็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามทุกข์ยาก
3/ ทิวทัศน์ของโลกใบนี้
มีสถานที่สวยงามมากมายในโลกให้เราค้นหา และมีอีกเยอะที่เรายังไม่เคยไปค่ะ