Wednesday, October 9, 2024

เฉดสีของพระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้า Gucci คอลเลกชั่น Spring/Summer 2025

Gucci คอลเลกชั่น Spring/Summer 2025 ณ พิพิธภัณฑ์ Triennale Milano ประเทศอิตาลี ภายใต้แนวคิด ‘CASUAL GRANDEUR’ โดยคอลเลกชั่นนี้ยังคงนำเสนอเฉดสีเเดง Ancora, สีเขียวมะนาวตามเเบบฉบับของเเบรนด์ Gucci ผ่านเสื้อผ้าสุดชิค พร้อมแนะนำให้สาวกแฟชั่นได้สัมผัสกับมิติใหม่ของสีส้มดั่งพระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้า

“ณ ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาที่ควรเก็บเอาไว้และใช้อย่างคุ้มค่า ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนลงสู่ท้องทะเลในช่วงท้ายของวันในเดือนสิงหาคม คือช่วงเวลาที่เราได้ค้นพบตนเอง ผลงานในคอลเลกชั่นนี้เพื่ออุทิศให้กับช่วงเวลาเหล่านั้น และเชื้อเชิญให้ได้หยุดนิ่งเพื่อค้นหาช่วงเวลาที่เป็นของตัวคุณเอง” Sabato De Sarno กล่าว

การเนรมิตรสำหรับโชว์ในครั้งนี้ ด้วยการสร้างทางเดินเป็นโถงยาวที่เต็มไปด้วยสีสัน ไล่เรียงเฉดสีจากสีขาว เหลือง ส้ม ไปเรื่อยจนถึงสีแดงเข้มในเฉดสีอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Gucci Rosso Ancora สะท้อนให้เห็นถึงเฉดสีของช่วงเวลายามพระอาทิตย์ตกดินในฤดูร้อน พื้นที่ดังกล่าวได้ถูกจัดแบ่งไว้เป็นสัดส่วนที่มีเฉดสีที่แตกต่างกันไป เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดประสบการณ์อันโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ อันเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปโดยไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก

“ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ผลงานในคอลเลกชั่นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางแห่งความสำเร็จในการก่อร่างสร้างตัว โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ผมได้สร้างสรรค์ไอเดียให้กับ Gucci ด้วยแนวคิดของ casual grandeur ที่เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากความลุ่มหลงของผมที่มีต่องานตัดเย็บเทเลอร์ งานชุดชั้นใน งานหนัง และโครงร่างเสื้อผ้าจากยุค 60’s ด้วยความชื่นชอบเหล่านี้หลอมรวมเข้ากับการค้นหาเรื่องราวอันเป็นตำนานของแบรนด์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บนแนวคิดที่นอกกรอบอยู่เสมอ” Sabato De Sarno ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ของ Gucci กล่าว

สิ่งที่ดีไซเนอร์หลงใหลอย่างงานตัดเย็บแบบงานเทเลอร์ถูกนำมาเป็นตัวเปิดของโชว์ในคอลเลกชั่นนี้ โดยยังคงรายละเอียดที่สำคัญโดดเด่นแตกต่างไปจากรายละเอียดเดิม ๆ อาทิ กางเกงตกแต่งดีเทลผ่าปลายขาเข้ากับรองเท้าสนีกเกอร์ ที่ผสานลุคของเสื้อผ้าสตรีกับกลิ่นอายของเสื้อผ้าบุรุษ ด้านพาเลทสีมีให้เห็นตั้งแต่สีเทา สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Gucci Rosso Ancora สีขาว โทนสีต่างๆ ของสีเขียว แต่งเติมด้วยสีส้ม

ส่วนโครงร่างเสื้อผ้าจากยุค 60’s สะท้อนผ่านงานเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นทรง กางเกงขาสั้น และกระโปรงทรงเอ เสื้อโค้ททรงใหญ่ที่ให้กลิ่นอายของลุคแบบเสื้อผ้ากูตูร์ชั้นสูงด้วยโครงเสื้อที่ดูเฉียบเนี้ยบ ช่วยส่งเสริมให้สัญลักษณ์ GG Monogram ดูโดดเด่นเปี่ยมพลัง มาพร้อมกับแนวคิดการออกแบบที่ให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกวันเพื่อลุคที่ดูสบาย ๆ จับคู่กับกางเกงเดนิมและเสื้อกล้าม งานหนังเคลือบเงาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอในงานออกแบบของแบรนด์ และงานชุดชั้นในที่พรางตาไว้ด้วยชุดเดรสผ้าลูกไม้และเสื้อโค้ทที่ใส่แบบเปิดให้เห็นดีเทลด้านใน

การได้ค้นหาเรื่องราวอันเป็นตำนาน จนพบว่าแนวคิด casual grandeur ที่ผสานความหรูหราไว้ด้วยความแคชชวลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Gucci ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น เห็นได้จากกระเป๋า Gucci Bamboo 1947 ที่กลายเป็นดาวเด่นประจำคอลเลกชั่นนี่ ด้วยดีไซน์ที่ดั้งเดิมผสานเข้ากับรายละเอียดร่วมสมัยที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือที่มีความชำนาญการในงานหนัง งานเคลือบเงา และงานเพล็กซิกลาส นอกจากนี้ กระเป๋า Bamboo ยังถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับชิ้นงานเครื่องประดับเช่นกัน ด้วยการนำเอารูปทรงของที่จับกระเป๋ามาพัฒนาให้เป็นเครื่องประดับเพื่อสวมใส่ และยังนำมาใช้ตกแต่งบนชุดเดรสผ้าเจอร์ซีย์ที่ให้สัมผัสอันพริ้วไหวจากแรงบันดาลใจของโครงร่างเสื้อผ้าจากยุค 90’s รวมไปถึงรองเท้าแพลตฟอร์มหัวตัด กระเป๋าถือโฉมใหม่ตกแต่งรายละเอียดของไม้ไผ่ที่ปรับขนาดให้เล็กลงสำหรับโชว์ในครั้งนี้ รวมไปถึงกระเป๋า Gucci 73 ทรงบักเก็ตที่ตกแต่งสัญลักษณ์ Horsebit ไว้ด้านข้าง

นอกจากนี้ยังได้เห็นกระเป๋า Gucci Go โฉมใหม่ ทั้งโครงร่างของกระเป๋าการใช้งานที่คล่องตัว สามารถใช้ได้ในทุกที่ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋า Gucci Bamboo 1947 ที่ได้เหล่าศิลปินชาวญี่ปุ่นมาปรับโฉมให้เห็น บนรันเวย์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยกระเป๋าเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่ทำร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของ Gucci ในประเทศญี่ปุ่น สัญลักษณ์ Horsebit ยังคงเป็นใจความสำคัญสำหรับรองเท้า โดยมีการปรับโฉมมาจากรองเท้าโลฟเฟอร์ Horsebit 1953 อันเป็นเอกลักษณ์ มาไว้บนรองเท้าแพลตฟอร์ม รองเท้าส้นตึก รองเท้าทรงบัลเลริน่า และรองเท้าบู้ทหุ้มข้อ รวมไปถึงการนำสัญลักษณ์ Horsebit มาตกแต่งบนรองเท้าบู้ทส้นเตี้ย ให้ลุคของการแต่งกายแบบยุค 60’s

นอกจากนี้กลิ่นอายของของยุค 60’s ยังส่งต่อมายังแว่นตากันแดดทรงเลนส์โค้งที่ไล่สีเลนส์ตามเฉดสีของคอลเลกชั่น และปิดท้ายด้วยงานผ้าไหมลวดลายดอกไม้ Gucci Flora ที่นำมาตกแต่งผูกเป็นผ้าโพกศีรษะ โดยการนำลวดลายต้นแบบตั้งแต่เมื่อครั้งที่ศิลปิน Vittorio Accornero de Testa ออกแบบไว้มาใช้ ช่อดอกไม้ทั้ง 9 ชนิด บนพื้นหลังสีขาวที่ตัดกับขอบ และการนำมาปรับโฉมอีกครั้งเสมือนเป็นผืนแคนวาส โดยการใช้โทนสีในโทนเดียวกันทั้งหมดและการหยิบเอาสีสันที่อ้างอิงตามพาเลทสีประจำคอลเลกชั่นนี้มาใช้

อ่านบทความเพิ่มเติม:

ส่องดีเทลที่ซ่อนอยู่ใน Gucci Fall/Winter 2024

‘Gucci Visions’ ลงลึกรายละเอียดงานนิทรรศการของห้วงเวลาและประวัติศาสตร์ของ Gucci
GUCCI เปิดตัวแคมเปญใหม่ร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก Hanni เฉลิมฉลองมรดกแห่งตราสัญลักษณ์ Horsebit

Other Articles