เมื่อพูดถึงนาฬิกา หลายคนอาจจะนึกถึงกลไก ฟังก์ชั่น เทคนิคการตกแต่งต่างๆ แต่อีกหนึ่งหัวข้อที่น่าสนใจก็คือวัสดุ เพราะนอกจากความสวยงาม ความเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานจริง รวมทั้งอายุการใช้งานของนาฬิกาด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นแบรนด์นาฬิกาต่างๆ พยายามคิดค้นพัฒนาหรือเสาะหาวัสดุใหม่หรือนวัตกรรมมาใช้ พื่อแสดงตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่เฉดสี ความสุกสกาว ความแข็งแกร่งไปจนถึงคุณสมบัติต้านทานสนามแม่เหล็ก นอกเหนือไปจากสตีลหรือทองที่เราคุ้นเคย
ด้วยจิตวิญญาณมุ่งมั่นในการบุกเบิกอย่าง OMEGA แบรนด์นาฬิกาสวิสผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวตกรรมอยู่ตลอดเวลาเองก็ได้สรรหาและพัฒนาวัสดุชั้นเยี่ยมมาใช้
โลหะ
-สเตนเลสสตีล
สเตนเลสสตีลเกรด 316L มีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อนและให้ความสุกสกาวหลังได้รับการขัดแต่ง เป็นตัวเลือกในอุดมคติสำหรับนาฬิกาที่ใช้งานในชีวิตประจำวันและสภาพแวดล้อมที่กดดันอย่างการดำน้ำและการผจญภัย
-ไทเทเนียม
ค้นพบในปี 1794 แต่เริ่มนำมาใช้ในอุตสาหกรรมในปี 1939 ไทเทเนียมอัลลอยด์มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อการสึกกร่อน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และสามารถทนทานต่ออุณหภูมิสุดขั้ว ในวงการนาฬิกาก็ได้นำมาใช้ เวลาพูดถึงนาฬิกาที่ผลิตจากไทเทเนียมเกรด 5 สีเทาสว่างคล้ายกับสแตนเลสสตีล มีความเหมาะกับการขัดแต่งทั้งแบบ “ขัดด้าน” และ “ขัดเงา” ส่วนไทเทเนียมเกรด 2 ให้สีเทาทึบซึ่งเหมาะกับการขัดแต่งแบบ “ขัดด้าน” OMEGA ได้นำไทเทเนียมเกรดนี้มาใช้ในนาฬิกาหลายรุ่นทั้งแบบที่ใช้ในโลกแห่งกีฬาและสำรวจอวกาศที่ไม่พึงประสงค์แสงสะท้อน
-แทนทาลัม
แทนทาลัมคือโลหะสีน้ำเงินอมเทาสะท้อนแสงที่หายากยิ่งกว่าทองคำ แข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า และมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนสูง คุณสมบัติเฉื่อยยังทำให้โลหะชนิดนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่สามารถทำปฏิกิริยากับกรดแม้จะถูกแช่ก็ตามที OMEGA ใช้แทนทาลัมในการผลิตชิ้นส่วนเพื่อความสวยงามเช่นขอบตัวเรือนและข้อสายนาฬิกา
-แพลตินัม
แพลตินัมโดดเด่นในด้านการเป็นวัสดุหรูด้วยความหายาก สีขาวเงินนั้นทนทานและเล่นกับแสงที่ส่องกระทบได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นโลหะที่แทบไม่ทำปฏิกิริยาและมีคุณสมบัติในการทนทานต่อการสึกกร่อนอย่างยิ่ง ความหายากของวัสดุชนิดนี้จึงทำให้มีภาพลักษณ์ที่เกี่ยวกับความพิเศษและความร่ำรวย นี่คือเหตุผลว่าทำไม OMEGA จึงเลือกแพลตินัม 950 สำหรับเรือนเวลาระดับสูง
–ลิควิดเมทัล
นับตั้งแต่ปี 2010 แบรนด์ OMEGA ได้จับคู่เซรามิกเข้ากับอัลลอยด์ที่มีชื่อว่า Liquidmetal™ ทำให้มีคุณสมบัติต้านทานรอยขีดข่วนได้ดีกว่าเดิมและมีความเสถียรอย่างยิ่ง อัลลอยด์ชนิดนี้ได้จากการผสมไทเทเนียม เซอร์โคเนียมและทองแดง มีความแข็งเป็นสามเท่ามากกว่าสแตนเลสสตีล
ทองอัลลอย
-Sedna™ Gold
ทองคำที่บริสุทธิ์ที่สุด (24K)นั้นจะมีสีเหลืองอมแดงเล็กน้อยและอ่อนเกินกว่าจะนำมาใช้งาน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำให้อยู่ในรูปอัลลอยด์ด้วยการเจือโลหะชนิดอื่น โดยทอง 18K (สัดส่วนทองบริสุทธิ์มีอย่างน้อย 75%) นั้นได้รับการพิจารณาว่าเป็นมาตรฐาน OMEGA นำทอง Sedna™ 18K หรือโรสโกลด์ของตนมาใช้งานตั้งแต่ปี 2012 โดยชื่อ Sedna ได้มาจากดาวเคราะห์น้อย Sedna ไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติตรงตามทอง 18K ทั้งหมดแต่ยังทนทานไม่ซีดจางตามกาลเวลาโดยง่าย
-Canopus Gold™
แบรนด์ OMEGA ได้ใช้ Canopus Gold™ ซึ่งเป็นไวท์โกลด์อัลลอยด์ 18K ตั้งแต่ปี 2015 ได้รับการตั้งชื่อตามดาว Canopus ที่สุกสกาวซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 71 เท่าและสว่างกว่า 10,000 เท่าเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ของเรา ทองอัลลอยนี้โดดเด่นด้วยความแวววาวสูง ความขาว ความทนทานไม่ซีดจาง
-Moonshine™ Gold
OMEGA ได้รังสรรค์ทอง Moonshine™ เยลโลว์โกลด์อัลลอยด์ 18K ขึ้นในปี 2019 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงจันทร์ที่เฉิดฉายท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทอง Moonshine™ 18K ของ OMEGA นั้นมีสีที่อ่อนกว่าเยลโลว์โกลด์ 18K ทั่วไปและทนทานต่อการซีดจางมากกว่า
-Bronze Gold
ทองบรอนซ์ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อมอบเฉดสีอ่อนและสะกดสายตา อีกทั้งยังเป็นบรอนซ์อัลลอยด์ที่สามารถสัมผัสกับร่างกายได้โดยตรงจากส่วนผสมที่ไม่เหมือนใคร อัลลอยด์ชนิดนี้ประกอบด้วยโลหะมีค่าอย่าง ทอง 37.5% หรือทอง 9K นอกจากจะมอบเฉดสีชมพูอ่อน ยังทนทานการสึกกร่อนโดยไม่เกิดออกซิเดชันเป็นคราบสีเขียวน้ำเงิน และจะค่อยๆ แสดงร่องรอยจากกาลเวลาอย่างช้าๆ รักษาพาทิน่าธรรมชาติอันงดงามได้ยาวนาน
เซรามิก
Omega มีความเชี่ยวชาญชนิดหาตัวจับได้ยากในการนำเซรามิกมาใช้กับการผลิตนาฬิกา โดยนำมาใช้ผลิตตัวเรือนทั้งชิ้น ขอบตัวเรือน เม็ดมะยมและปุ่มกด หัวสายนาฬิกา บานพับและหน้าปัด ต้นกำเนิดของคำนี้มาจากคำในภาษากรีกว่า “keramos” เซรามิกเป็นสารอนินทรีย์ อโลหะที่ได้จากการเผาที่อุณหภูมิสูงชนิดนี้ทำให้เราสามารถผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาที่มีความหนาแน่นสูงและมีคุณสมบัติเชิงกลที่เหนือระดับได้ มันไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี, ทนทานต่อการใช้งาน, ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และนอกจากเซรามิกปกติแล้ว Omega ยังได้พัฒนา CeragoldTM ซึ่งผสมกับทอง 18K ด้วย
แซฟไฟร์คริสตัล
แบรนด์ Omega ใช้คริสตัลแซฟไฟร์สังเคราะห์ที่มีสมบัติทนทานต่อรอยขีดข่วนสูงและเคลือบสารกันสะท้อนเติมเต็มให้สามารถรับชมความงามของนาฬิกาได้อย่างเต็มอรรถรส ก่อนที่จะเข้ากระบวนการตัดแต่งให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ คริสตัลแซฟไฟร์จะต้องถูกผลิตภายใต้กระบวนการ Verneuil หรือกระบวนการหลอมเหลวโดยเปลวไฟซึ่งต้องใช้ไฟออกซีไฮโดรเจนหลอมเหลววัตถุดิบและต้องรอให้ตกผลึกทีละหยดจนเกิดเป็นกระบอกของแซฟไฟร์ที่มีคะแนนมาตราความแข็งแร่ของโมลส์ที่ 9 คะแนน (มีทั้งหมดตั้งแต่ 1 – 10) แซฟไฟร์ที่ได้จะทนทานต่อรอยขีดข่วน มีความแข็งสูง และไร้มลทินบดบังการมองเห็นของกระจก