ในช่วงโอตกูตูร์แฟชั่นวีคที่ผ่านมา คงไม่มีคอแฟชั่นคนไหนไม่ได้เข้าโซเชียลมีเดียไปชมคอลเลกชั่นของ Schiaparelli ซึ่งออกแบบโดย Daniel Roseberry ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2018 โชว์ในครั้งนี้ นอกจากฟรอนต์โรว์จะเต็มไปด้วยเหล่าคนดัง คอลเลกชั่นที่เขาออกแบบยังสะกดใจผู้เข้าชม โดยเขาสามารถเอาความเซอร์เรียลอันเป็นซอกเนเจอร์ของแบรนด์มาผสมผสานเข้ากับมุมมองอันทันสมัย อีกทั้งคราฟต์แมนชิปยังทำให้คอลเลกชั่นนี้ตะโกนคำว่า ‘นี่สิโอตกูตูร์’ ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
ล่าสุด Daniel Roseberry เตรียมรับรางวัล Neiman Marcus Award for Creative Impact ปี 2024 ในสาขาแฟชั่น ซึ่งรางวัลนี้ไม่ได้จัดมานาน 6 ปีแล้ว เราจึงคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนเก่งคนนี้ผ่านบทสัมภาษณ์ของ ลอฟฟีเซียล ปารีส โดย Adrienne Ribes เมื่อปี 2019 บอกเลยว่าความคิดของเขาไม่เคยล้าสมัยเหมือนผลงานการออกแบบของเขาเองนั่นแหละ
บรรยากาศด้านนอก ณ ปลาซวองโดมยามอาบไล้ด้วยแสงแดด นับเป็นวันดีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ดวงอาทิตย์ทอแสงละมุนลอดหน้าต่างของอาคารเก่าแก่โอ่อ่า ไม่นานเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น และได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจ วันนี้เรามีนัดกับชายหนุ่มวัย 33 ผู้ที่เมื่อสิบปีก่อนเขาทำงานให้กับทอม บราวน์อยู่ที่นิวยอร์ก เป็นสิบปีของการทำงานอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ก่อเกิดเป็นมิตรภาพและนำไปสู่คอลเลกชั่นสุดสร้างสรรค์และน่าปรารถนาสำหรับผู้คนมากมายทั้งชายหญิง แต่นอกจากนั้นแล้ว เราก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มากนัก
เขาสวมชุดสีน้ำเงินเนวี่ทั้งตัว เว้นแต่คอเสื้อเชิ้ตลายทางที่โผล่ออกมาให้เห็นนิดๆ เพราะสวมสเว็ตเตอร์น้ำเงินทับไว้ ผมสีน้ำตาลและหนวดผ่านการตัดเล็มจนดูเนี้ยบ แดเนียล โรสเบอร์รีเป็นคนมีอัธยาศัยดีแม้ภายนอกจะดูนิ่งๆ ไม่ได้มีนิสัยขี้เล่นแบบดีไซเนอร์ที่เราเคยเจอ เขาเป็นคนสุภาพ นิสัยดี ไม่เล่นใหญ่ หลังจากเข้ารับตำแหน่ง เขาได้จัดแสดงคอลเลกชั่นโอตกูตูร์ไปเมื่อเดือนกรกฎาคมซึ่งได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราว และล่าสุดเขาได้นำเสนอเรดี้ทูแวร์คอลเลกชั่นแรกในปารีสแฟชั่นวีกเมื่อเดือนตุลาคมปี 2019 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสเคียปาเรลลี่นับตั้งแต่แบรนด์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่เมื่อเจ็ดปีก่อน หลังจากหลับใหลมานานถึง 60 ปี ดิเอโก เดลลา วัลเล ซีอีโอของกลุ่มบริษัททอดส์หาญกล้าที่จะนำแบรนด์ประวัติศาสตร์นี้กลับมาอีกครั้ง โดยแรกเริ่มมุ่งไปที่คอลเลกชั่นกูตูร์ และปัจจุบันผ่านคอลเลกชั่นเรดี้ทูแวร์ เราจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำความรู้จักกับหนุ่มอเมริกันซึ่งมาประจำอยู่ที่ปารีสสักที
-คนอเมริกันมองสเคียปาเรลลี่อย่างไรคะ
“ผมชอบที่เอลซา สเคียปาเรลลี่เป็นคนนอก เรื่องราวของเธอไม่ธรรมดาเลยล่ะ และการที่ผมเป็นคนอเมริกันแล้วได้มาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ฝรั่งเศส ก็ทำให้ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของเธอ การจะทลายกฎจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป”
-นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คุณรับตำแหน่งนี้ คุณมองว่างานนี้เป็นภารกิจท้าทายระดับโลกในยุคสมัยใหม่ที่ต้องเชื่อมโยงกับโลกแห่งความจริงไหม
“แน่นอนครับ จริงๆ เอลซาเป็นคนยึดมั่นในความจริงพอๆ กับแฟนตาซี เพราะองค์ประกอบนี้เอง ผมจึงอยากลองนำมาพลิกแพลงเล่นสนุกและนำเสนอออกมาเป็นเรื่องราว”
-คุณคิดว่าจะมีเวลามาคิดอะไรให้งดงามราวกับบทกวีในโลกธุรกิจปัจจุบันนี้เหรอ
“มันสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ลูกค้าปรารถนา เราเคยชินกับการได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ที่ท้าทายเรา อินสตาแกรมพาเราก้าวไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างอลหม่านไปหมดในทุกวันนี้ เราถกกันไปไหนต่อไหนแล้วแม้กระทั่งเรื่องจุดจบของโลก บางเรื่องที่ทั้งตลกและบันเทิงก็กลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะที่แบรนด์สเคียปาเรลลี่จะสื่อสารความคิดออกไป”
-อารมณ์ขันคือคีย์เวิร์ดที่สำคัญของสเคียปาเรลลี่ คุณเองจะสอดแทรกอารมณ์ขันไว้ในงานสร้างสรรค์ด้วยหรือเปล่า
“ความท้าทายก็คือไม่มีใครเลียนแบบสเคียปาเรลลี่ได้ ผมแค่พยายามเป็นตัวเองและนำเสนออารมณ์ขันผ่านเสื้อผ้าของผมเท่านั้น”
-แล้วอารมณ์ขันของคุณเป็นแบบไหน
“ผมออกจะเงียบขรึมกว่าเอลซาเล็กน้อยครับ แต่ผมก็มีอารมณ์ขันในแบบของผมเอง และสิ่งที่วิเศษสำหรับแบรนด์นี้ก็คือผมสามารถนำเสนอมันผ่านเสื้อผ้าและโชว์ของผมได้ เพื่อนสนิทผมก็บอกว่าพวกเขารอช่วงเวลานี้มานานแล้ว”
-ฉันรู้สึกว่าในชีวิตของคุณ คุณดูลึกลับ เก็บเนื้อเก็บตัว แต่คุณก็เก็บซ่อนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไว้กับตัวเอง ต้องอาศัยความเชื่อใจใช่ไหมถึงจะแสดงออกมา
“อย่างนั้นเลยครับ ผมโตมากับการเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็นที่เหมาะสม บางทีอาจจะมากไป”
-พูดถึงวัยเด็กให้ฟังหน่อย คุณเป็นคนที่ไหน
“ผมมาจากดัลลัส เท็กซัสครับ ผมโตมาในครอบครัวใหญ่ที่ค่อนข้างจะหัวโบราณ เคร่งศาสนา พ่อแม่ผมมีลูกสี่คน พ่อผมเป็นนักบวช พี่ชายคนหนึ่งของผมก็เหมือนกัน”
-ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงฝันที่จะทำงานในโลกแฟชั่น
“มีคนในครอบครัวผมที่เป็นศิลปิน คือแม่กับยาย… ผมโตมากับประติมากร จิตรกร ครอบครัวโรสเบอร์รีมีศิลปะอยู่รายล้อม ทุกคนในครอบครัวต่างสนับสนุนผม พวกเขาเห็นว่าผมชอบวาดรูป ผมมีพรสวรรค์ทางนี้มาตั้งแต่เด็ก แม่เลยสอนผมวาดแบบจริงจังจนมันกลายเป็นวิธีหลักในการสื่อสารของผม ผมคงไม่ได้เป็นแบบนี้ถ้าผมไม่ได้เป็นเด็กที่เป็นเกย์และศิลปิน เติบโตมาในครอบครัวหัวโบราณที่ส่งลูกเข้าโรงเรียนเอกชนและไปโบสถ์เป็นประจำ หากผมไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับตัวตนที่ผมเก็บเป็นความลับ เรื่องราวก็คงไม่เป็นอย่างวันนี้ ความแตกต่างมันเป็นตัวจุดชนวนน่ะ”
-คุณเป็นคนช่างฝันหรือเปล่า
“ผมมักเก็บซ่อนจินตนาการที่มีอยู่ในตัวผมเอาไว้ มันน่าทึ่งนะ หากคุณเจอใครบางคน ได้รู้จักเขาโดยที่คุณไม่สงสัยเลยว่าเขาหลงใหลอะไร และความฝันอะไรที่หล่อเลี้ยงตัวเขาอยู่ แต่นี่แหละที่ผมชอบ คนที่ธรรมดาที่สุดที่เก็บงำความฝันอันยิ่งใหญ่ไว้ในใจ”
-คุณโตมากับความลับและโลกแห่งความฝันเหรอเนี่ย
“ใช่ครับ คนแบบนี้มักสร้างโลกของตัวเองเอาไว้ในใจ ดีไซเนอร์ส่วนใหญ่ให้เสื้อผ้าแสดงออกถึงจินตนาการ ความเพ้อฝัน… ซึ่งเป็นวิธีที่ผมคิดว่าน่าทึ่งและปลดปล่อยได้เป็นอย่างดี”
-สำหรับคุณแล้ว อิสระหมายถึงอะไร
“การแสดงออกครับ”
-ตอนยังเด็ก คุณเคยคิดอยากออกมาจากดัลลัสไหม หรือคิดว่าแค่ได้ฝันอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว
“ผมรู้ตัวมาตลอดว่าอยากใช้ชีวิตในนิวยอร์ก และอยากทำงานแฟชั่น แต่กลัวที่จะลงมือทำ แต่ผมก็รู้ตัวว่ามันจะเกิดขึ้นในสักวัน”
-แล้วทำไมถึงเป็นแฟชั่น ไม่เป็นประติมากรรม ศิลปะ หรือภาพยนตร์
“ผมก็ถามตัวเองอย่างนี้บ่อยๆ! เพราะแฟชั่นมีอะไรที่ต้องทำมากมาย… ที่ผมเลือกทางนี้เพราะแฟชั่นโชว์ด้วย อาจจะเพราะผมโตมากับโบสถ์ เลยอินกับพิธีกรรม กึ่งๆ การแสดง ผมอยู่ในวงประสานเสียงด้วย แฟชั่นโชว์สำคัญมากสำหรับผมในการสื่อสารเกี่ยวกับเสื้อผ้า”
-ปัจจุบันนี้คนกำลังตั้งคำถามถึงประโยชน์ของแฟชั่นโชว์ เพราะมันใช้เงินเยอะ และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม… คุณคิดเห็นอย่างไร
“เราต้องพยายามคิดถึงตัวเลือกหรือรูปแบบอื่น แต่โชว์ก็ยังเป็นโชว์ เพื่อนของผมหลายคนบอกว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไปเมื่อได้ดูโชว์จริงๆ”
-คุณชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เคยอยากเป็นนักร้องบ้างไหม
“เคยครับตอนเป็นเด็ก ผมคงอยากไปออกรายการ American Idol น่าดู แต่ฝันนี้มันก็ค่อยๆ จางหายไป หรือไม่ก็เปลี่ยนไปมากกว่า วันนี้ผมได้ทำตามความฝันของตัวเองซึ่งก็น่าสนใจนะ เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นจริง คุณก็จะถอยหลังกลับ ผมว่างงานอยู่ในนิวยอร์กนานหนึ่งปีเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ออกจากทอม บราวน์ ผมไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีเงิน ถึงกับต้องอาศัยนอนที่อพาร์ตเมนต์ของเพื่อนคนหนึ่ง จากนั้นสี่เดือนถัดมา ผมก็ย้ายมาปารีส และได้รับโอกาสจากแบรนด์ประวัติศาสตร์อย่างสเคียปาเรลลี่ บ้าคลั่งไหมล่ะครับ! สิ่งที่ต้องจดจำจากความฝันและจินตนาการของเราก็คือมันสามารถเป็นจริงได้ ทุกวันนี้ผมยังถามตัวเองเลยว่าเราจะไปได้ไกลถึงไหนนะ เราจะออกแบบชุดให้ใครและมันจะสร้างอิมแพ็กต์อย่างไร ตอนนี้ความฝันของผมอยู่ที่สเคียปาเรลลี่เพราะผมอยู่ที่นี่ แล้วผมก็ต้องหาความฝันใหม่ๆ ด้วย”
-มาพูดถึงเรดี้ทูแวร์ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นแรกสำหรับสเคียปาเรลลี่กันบ้างดีกว่า ในทรรศนะของคุณ มองโอตกูตูร์และเรดี้ทูแวร์อย่างไร
“กระบวนการผลิตโอตกูตูร์นั้นอัศจรรย์มาก ผมไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ในระดับนี้มาก่อน ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพื่อลูกค้าคนหนึ่ง ชุดที่วิเศษที่สุดเพื่อคนที่พิเศษที่สุด ส่วนเรดี้ทูแวร์นั้นเชื่อมโยงกับความทันสมัย เป็นเหมือนยูนิฟอร์มสำหรับการแต่งกายของเรา จริงๆ แล้วมันเป็นแนวคิดที่ผมคิดไว้สำหรับคอลเลกชั่นแรก ซึ่งตรงข้ามกับชุดโอตกูตูร์ซึ่งแต่ละลุคเป็นตัวแทนของโลกที่แตกต่าง”
-กว่าจะเป็นคอลเลกชั่นนี้คุณออกแบบไว้เยอะไหม
“นี่เป็นคอลเลกชั่นที่ค่อนข้างเล็ก น่าจะเกินร้อยมานิดหน่อย แต่ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้น คอลเลกชั่นที่สองจะโชว์ในเดือนมีนาคม ผมตั้งใจไว้ว่าจะนำเอาลุคโค้ตในตำนานกลับมาอีกครั้ง แล้วก็จะโฟกัสที่แอ็กเซสเซอรี่ด้วย มันตรงกับช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นฤดูกาลโปรดของผมด้วย”
-สเคียปาเรลลี่ขึ้นชื่อว่าซีเรียส ประหลาด ครีเอทีฟ และหลักแหลม… ที่นี่เหมาะกับคุณจริงๆ
“เห็นด้วยครับ ใครๆ ก็สัมผัสถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เราทำกับจุดเริ่มต้นของแบรนด์ได้”
-คุณอยากจะออกแบบคอลเลกชั่นผู้ชายให้สเคียปาเรลลี่ด้วยไหม
“ครับ ตัวเธอเองก็เคยออกแบบไว้บ้างในยุค ’50s ผมชอบนะ บางอย่างในบุคลิกของผมเข้าใจถึงด้านที่เก็บเงียบนี้ได้ ผมรู้สึกได้มากกว่าในฐานะผู้ชาย มันส่วนตัวมากๆ และกระบวนการทำงานก็ต่างไปจากการทำงานให้คอลเลกชั่นผู้หญิง ผมเคยทำงานที่ทอม บราวน์ และผมคิดว่าเขาทำคอลเลกชั่นผู้ชายได้ดีที่สุดในโลก”
-สิบปีที่คุณทำงานกับเขามาเป็นอย่างไรบ้าง
“มันเป็นคนละยุคเลย ผมอยู่นิวยอร์กในช่วงอายุ 20 ผมคิดถึงยุคนั้นมากนะ ผมค่อนข้างเซนสิทีฟกับอดีต ผมเป็นมือขวาของทอม เราแชร์ห้องทำงานด้วยกัน และผมก็เฝ้าดูวิธีจัดการงานต่างๆ ของเขา ทั้งการให้สัมภาษณ์ ทั้งโชว์ ทอมไม่ได้เป็นตัวตลกในโลกแฟชั่น เขาไม่ชอบดราม่า เขาไม่เหมือนใคร เขาเป็นคนที่ผมถือเป็นแบบอย่าง”
-คุณชอบอะไรในอดีตของคุณ คุณโหยหาอะไร
“ใจที่บริสุทธิ์ ผมไม่ใช่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ถูกใจบุคลิกนี้ในตัวคนอื่นเหมือนกัน ความบริสุทธิ์เป็นหัวใจของวัยเด็ก และผมก็ชอบคนที่มีความบริสุทธิ์นี้อยู่ในหัวใจ ผมก็พยายามรักษามันไว้ แต่ก็ไม่ง่ายเลยเพราะทำงานวงการนี้”
-ตอนนี้คุณอยู่ที่ปารีสแล้ว คุณชอบที่นี่ไหม
“ตลกดี (หัวเราะ)… ความจริงผมรักปารีสเพราะผมอยู่ในเขตหนึ่ง มันเป็นเมืองที่วิเศษมาก แต่ผมก็กำลังพยายามทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสอยู่ ทั้งระบบขั้นตอนการทำงาน แล้วก็พวกวันหยุดต่างๆ การตอบรับของสื่อฝรั่งเศสก็ถือว่าน่ายินดีมากครับ ผมเองทำงานอยู่ในโลกเล็กๆ อย่างโอตกูตูร์ ผมไม่มีอะไรจะคร่ำครวญ อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมนี้ไม่เหมือนกับวัฒนธรรมในนิวยอร์ก แตกต่างอย่างมากทีเดียว แล้วไหนจะเรื่องภาษาอีก ผมอยากจะพูดฝรั่งเศสได้คล่องและสนทนาได้เป็นเรื่องเป็นราว”
-คุณเป็นพวกตื่นเช้ามาก แล้วคุณนอนดึกไหม
“ก็แล้วแต่นะครับ ผมเป็นคนนอนน้อย บางทีก็นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนใหญ่จะตื่นตอนตี 3 ถึงตี 5”
-แล้วคุณชอบออกไปเที่ยวไหม เล่นกีฬาหรือเปล่า แล้วชอบทานอะไรเป็นพิเศษ
“ผมไม่ทานเนื้อแดง ผมชอบไปพิพิธภัณฑ์ และเล่นกีฬาหนักมาก โดยเฉพาะที่ Barry’s Bootcamp เล่นหนักเท่าที่ร่างจะรับไหว ถ้าไม่ได้เล่นจะหงุดหงิดนิดหน่อย เวลาทำงานผมจะมาถึงออฟฟิศคนแรกเพราะผมชอบทำงานตอนเช้า ได้เห็นปลาซวองโดม”
-คุณเกิดวันไหน
“5 กันยายน ผมเป็นชาวราศีกันย์เหมือนกับเอลซ่า เธอเกิดวันที่ 10 กันยายน”
-คุณสนใจเรื่องจิตวิญญาณไหม ในฐานะที่เกิดมาในครอบครัวเคร่งศาสนา
“ผมไม่ได้เป็นคาธอลิก แต่เป็นแองกลิคัน จิตวิญญาณและการฝึกสมาธิเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม โดยเฉพาะเมื่อทำงานในวงการที่บ้าคลั่งนี้”
-คุณเคยไปอินเดียมาหรือยัง
“ผมเคยไปเผยแผ่ศาสนาในอินเดีย ปากีสถาน แคว้นแคชเมียร์ในจอร์แดนตอนผมอายุ 19 มันเป็นคนละโลกเลยครับ”
บทความอื่นที่น่าสนใจ:
Schiaparelli คอลเลกชั่นโอตกูตูร์ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2024 บทสนทนาของแฟชั่นและเทคโนโลยี
รวมลุคชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่มาร่วมงานใน Haute Couture Spring/Summer 2024 ของเเบรนด์ต่างๆ
Mob Wife เทรนด์ใหม่มาแรงซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของสาวๆ สไตล์ Clean Girl