หากพูดถึงบอยกรุ๊ปน้องใหม่มาแรงแห่งวงการ T-Pop คงต้องยกให้ LYKN (ไลแคน) ภายใต้สังกัดค่ายเพลง Riser Music ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนฟังรุ่นใหม่ วงนี้ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน ได้แก่ วิลเลี่ยม-จักรภัทร (เมนร้อง) เลโก้-รพีพงศ์ (เมนแดนซ์) นัท-ธนัท (ออลราวเดอร์) ฮง-พิเชฐพงศ์ (เมนแร็ป) และ ตุ้ย-ชยธร (ออลราวเดอร์) พวกเขาผ่านการแข่งขันมาอย่างเข้มข้นจากรายการเซอร์ไววัลของ GMMTV อย่าง Project Alpha ภารกิจล่าฝันที่เฟ้นหาไอดอลสู่การเดบิวต์เป็นศิลปิน ต้องโชว์ศักยภาพทั้งการเต้น การร้อง และการแสดง ให้ผู้ชมได้เห็นแพสชั่นและพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมและการโหวตจากผู้ชมทั่วประเทศให้เป็นผู้ชนะ
LYKN ได้เดบิวต์เป็นศิลปินน้องใหม่ที่โดดเด่นในความสดใสและพลังที่เหลือล้น เปิดตัวผลงานเพลงที่มาพร้อมท่าเต้นให้คนเต้นตามในชาเลนจ์ติ๊กต็อกได้เสมอ จนมีแฟนคลับมากมาย การันตีด้วยยอดวิวหลักล้านบนยูทูบในเวลาเพียงสามวันหลังจากปล่อยซิงเกิลแรก ‘เลิกกับเขาเดี๋ยวเหงาเป็นเพื่อน (May I?)’ และเพลงล่าสุดอย่าง Umm Umm แต่เบื้องหลังของการฝึกฝนก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปิน T-pop ได้นั้นไม่ง่ายเลย ซึ่งเราจะไปพูดคุยกับพวกเขาพร้อมๆ กัน
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาประกวดในรายการ Project Alpha แต่ละคนทำอะไรกันมาบ้าง
ฮง: “ผมชอบเรื่องการเต้นมาก่อนอยู่แล้ว เคยไปเรียนเต้นตามสตูดิโอ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาเรื่องการร้องเพลงมากนัก มีช่วงที่เพื่อนชวนไปแข่งเต้นโคฟเวอร์ วันหนึ่งผมเดินผ่านทางตรงที่เขาเต้นโคฟเวอร์กัน อยู่ดีๆ ผมก็ร้องไห้ ผมบอกเพื่อนว่าอยากเต้นว่ะ แล้วเพื่อนก็ลากไปนั่งคุยตรงตู้กดน้ำอยู่สักพัก คุยกันว่าเห็นคนอื่นได้เต้น เราก็อยากเต้นบ้าง พอมี Project Alpha ผมเลยลองยื่นดูแบบไม่คาดหวังอะไร สุดท้ายก็ติดและได้มาเป็นไลแคนทุกวันนี้ครับ”
ตุ้ย: “ตอนเด็กๆ แม่ผมชอบหากิจกรรมให้ทำ พาไปเรียนร้องเพลง เลยได้มีโอกาสฝึกร้องเพลงตั้งแต่เด็ก พอขึ้นมัธยมก็มีเพื่อนๆ เต้นแบบเกาหลี เราเห็นว่าน่าสนุกดีก็เลยไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ด้วย เริ่มเต้นโคฟเวอร์มาตั้งแต่ม.3 แต่อาจจะไม่ได้มีทีมของตัวเอง จะเป็นกลุ่มร้องเพลงมากกว่าที่ไปประกวดกัน พอจบม.6 ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมมีช่วงว่างอยู่ ก็มีเปิดออดิชั่น Project Alpha มาพอดี ผมเลยลองส่งเข้าไป ตอนนั้นคิดว่าถ้าติดก็ดี แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว พอติดก็รู้สึกสนุกมากที่ได้มาเป็นศิลปินในรายการ ได้ทั้งร้องทั้งเต้นกับเพื่อนๆ และมีผู้ชม”
เลโก้: “ช่วงที่ใกล้ๆ Project Alpha ผมเตรียมแข่งเต้นอยู่ครับ แพลนไว้ว่าจะไปแข่งที่อเมริกาด้วย แข่งจริงจังเลยครับ ตอนนั้นเราโฟกัสเรื่องการเป็นศิลปิน แต่ว่ามันมีโควิด แล้วอายุเราก็มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อจำกัดในการรับออดิชั่นก็มีมากขึ้น เลยเบนมาโฟกัสด้านเต้น พอดีคุณครูชวนให้มาออดิชั่น Project Alpha ผ่านทางคุณแม่ ตอนนั้นแม่ก็ไม่กล้าจะชวนเรา เพราะแม่รู้ว่ากำลังโฟกัสเรื่องไปแข่งเต้นที่อเมริกา เขาเดาใจไม่ออกว่าเราอยากทำหรือเปล่า แต่เขาอยากให้ลองดู ซึ่งผมก็บอก ‘ได้แม่’ แม่ก็งงว่าอยากไปจริงๆ ใช่ไหม”
วิลเลี่ยม: “ตอนนั้นผมอยู่ม.5 ครับ เรียนอย่างเดียวเลย เพราะอยู่ในโรงเรียนดนตรี วันๆ ก็มีแค่ร้องเพลง เล่นกีตาร์ เปียโน เรียนเกี่ยวกับดนตรีอย่างเดียว ผมไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นศิลปินนะ ไม่ได้คิดว่ามันเท่ แต่ช่วงนั้นมีคลาสว่างเยอะมาก หัวหน้าภาคของวิทยาลัยรู้จักกับครูสอนร้องเพลงผม เขาบอกว่าไปลองโปรเจ็กต์นี้ไหม เป็นการออดิชั่นหาศิลปิน จริงๆ ก่อนหน้านี้มีคนชวนผมเยอะมากว่าให้ลองไปอะไรแบบนี้ แต่ผมอายก็เลยไม่กล้า ตอนนั้นผมคิดว่าอะลองดูหน่อย อยากรู้ว่าบรรยากาศจะเป็นยังไง แต่ว่าตอนแรกพี่ที่ดูแลเรื่องนี้เขาบอกว่าต้องมีเต้นด้วยนะ ซึ่งผมไม่เต้นไง ผมเรียนแต่ดนตรีอย่างเดียว ไม่มีเต้นเลย ที่จริงม.4 มันมีคลาสเต้น แต่ผมแทบไม่เข้าเรียนเลย เพราะไม่ใช่ทาง ทีนี้ตอนที่มีเวลาสองวันก่อนออดิชั่น มันต้องเต้นจริงๆ ผมเลยขอให้เพื่อนที่เต้นเก่งๆ ส่งท่าเต้นมาให้หน่อย เอาแบบไม่ยาก ก็ลองดู จำได้ว่าตอนอยู่ต่อหน้ากรรมการ ผมลืมท่าเยอะมาก เต้นมั่วไปเยอะเลย ทำให้รู้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ชอบเต้นเท่าไหร่ แต่พอมีโอกาสได้เข้าโปรเจ็กต์นี้ก็รู้สึกว่าคลาสเต้นมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ฝึกจากง่ายๆ จนเราก็ไม่ได้แอนตี้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
นัท: “ถ้าย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กเรียนและทำกิจกรรมควบคู่กันมาตลอดอยู่แล้ว ตอนม.ต้นเคยแสดงละครเวทีด้วย ในบทมีฉากที่ผมต้องเต้นเป็นทีมกับเพื่อน เลยได้เริ่มเต้นตั้งแต่ตอนนั้น จบละครไปแล้วก็มาฟอร์มทีมโคฟเวอร์แดนซ์ไปแข่งเต้น แต่พอช่วงม.ปลายก็ไม่ค่อยได้เต้นแล้ว ไปโฟกัสเรื่องเข้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจเรียน เห็นเพื่อนเข้าวิศวะกัน เราก็ไปเข้าตาม เหมือนยังหาตัวเองไม่เจอ ห่างหายจากการเต้นไปเกือบปี พอสอบมหาวิทยาลัยเสร็จก็มีช่วงว่างก่อนเปิดเทอม ได้ไปลองออดิชั่นตามที่ต่างๆ แต่ไม่ติด จนมาติด Project Alpha เลยได้มาอยู่ตรงนี้”
แต่ละวีกในรายการนั้นเรียกได้ว่าโหดสุดๆ มีโมเมนต์ประทับใจตอนไหนบ้าง
นัท: “ตอนที่ได้ไปทำโชว์กับตุ้ยครับ เพราะผมสนิทกับเขาตั้งแต่ก่อนเข้ารายการแล้ว และไม่เคยได้ทำโชว์ด้วยกันเลย แต่พอจะจบรายการเราได้ทำโชว์ด้วยกัน เลยประทับใจ มันไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แค่สนุกไปกับโชว์”
เลโก้: “ของผมคือโมเมนต์หลังจากที่เราทำหลายๆ อย่างจบแล้ว และย้อนกลับมาดู ภูมิใจที่สุดคือตอนที่เราเห็นว่าตัวเองพัฒนาขึ้นแค่ไหน ผมย้อนดูอีพีแรกจนถึงอีพีสุดท้าย เห็นว่าหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป ความแตกต่างทั้งในเรื่องทัศนคติ มุมมอง ความสามารถ รู้สึกว่าเป็นรายการที่ขุนเด็กให้เก่งขึ้นได้จริงๆ ในระยะเวลาที่สั้นมาก เพราะโจทย์มันมาวีกต่อวีก ความท้าทายอย่างตอนที่ Beta ต้องเปลี่ยนกรุ๊ปตลอดเวลา และความกดดันของ Alpha เอง ต้องรักษาตำแหน่งให้ได้ มันเป็นภาพที่ทุกคนอยากจะพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด สิ่งที่เครียดสุดของผมคือไม่ได้เครียดว่าตัวเองจะตกจาก Alpha หรืออะไร แต่เครียดว่าตัวเองจะทำโชว์ได้ไม่ดี และตัวเองจะอาย หรือพ่อแม่จะอาย ทุกครั้งที่เราทำโชว์จึงตั้งใจทำให้ออกมาดี เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเสียใจทีหลัง”
ตอนที่ประกาศผลผู้ชนะในรายการ รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
ฮง: “ผมอาจจะทำดีที่สุดของผมแล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ วันนั้นไม่ได้คิดเลยว่าผมจะได้ ซึ่งพอประกาศชื่อ มันเป็นโมเมนต์ที่ awkward มากๆ แบบผมเหรอ ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่”
เลโก้: “เหมือนจะรู้อยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะหลายๆ อย่าง มีการไหว้พระ ดูดวง สีเสื้อมงคลด้วย ความเชื่อส่วนบุคคล (หัวเราะ) ทำหลายอย่างเลยวันนั้น ซ้อมเต้นด้วย รู้สึกว่าเราทำอะไรออกมาได้ดี หน้าผมก็ส่ง ทั้งคอมเมนต์และกรรมการก็ดี เราก็ใจชื้นไป 80% แล้ว แค่ลุ้นว่าเขาจะประกาศชื่อเราตอนไหน คิดว่าถ้าเราไม่ใช่คนแรก อาจจะคนสุดท้ายไปเลย”
วิลเลี่ยม: “จริงๆ ผมก็แอบมั่นใจ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น เพราะวันนั้นผมรู้สึกตัวเองทำได้ไม่ดีไม่เต็มที่เหมือนสเตจแรกๆ ทั้งที่สเตจสุดท้ายเราควรทำได้ดีที่สุด จนพอเขาประกาศชื่อผมคนแรก จำได้ว่าวันนั้นอยากร้องไห้นะ แต่ร้องไม่ออก”
นัท: “ผมคนสุดท้ายเลย จริงๆ ก็มีแอบหวังอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นเรา แต่พอเขาประกาศครบสี่คน เราก็โอเคไม่เป็นไร แต่แอบเห็นตั้งแต่ต้นรายการแล้วว่ามีที่นั่งข้างหลังอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ซึ่งมันเป็นเก้าอี้ King ตอนที่เขาบอกจะมีตำแหน่ง King of Alpha นี่หันไปมองเลย และเขาก็ประกาศว่า “และคนที่จะได้เป็น Alpha ที่จะได้ขึ้นไปชิง…” ตอนนั้นงงกันทั้งฮอลล์ แต่พอรู้ว่ามันมีอีกที่ ผมก็ขอให้เป็นเราเถอะ”
ทำไมถึงชื่อวงไลแคน
เลโก้: Wเพราะเรามาจากรายการ Project Alpha ซึ่งก็คือหมาป่า และไลแคนคือมนุษย์หมาป่า จริงๆ คนจะรู้จักคำว่า Werewolf มากกว่า แต่ Werewolf คือเป็นมนุษย์ที่สามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าได้เฉพาะตอนพระจันทร์เต็มดวง แต่ไลแคนมีความสามารถมากกว่านั้น แปลงร่างตอนไหนก็ได้ ทีมงานอยากจะเล่นกับคำนี้โดยเปรียบกับวงเราที่พร้อมจะเพอร์ฟอร์มตอนไหนก็ได้”
หลังจากปล่อยซิงเกิลแรกออกมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
นัท: “ตอนที่ปล่อยผมไม่คิดว่าคนจะให้ความสนใจเราเยอะขนาดนี้ เพราะปล่อยมาแค่สามวันก็ถึงล้านวิวแล้ว เราเป็นวงหน้าใหม่ด้วย เพลงขึ้นไปขนาดนี้ก็ดีใจมากๆ พอเพลงแรกปล่อย เราก็ได้ไปโชว์ที่ญี่ปุ่นเลย พวกเวทีไอดอลหรืออีเวนต์ดนตรีที่เราได้ไปโชว์ในฐานะศิลปินจริงๆ”
ฮง: “เราเต้นเพลงของพี่ๆ ศิลปินคนอื่นมาเยอะแล้ว ตั้งแต่อยู่ในรายการ แต่ยังไม่เคยเต้นเพลงตัวเองให้คนดูเยอะขนาดนั้นมาก่อนครับ แล้วเขาเป็นแฟนๆ ต่างชาติด้วย เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะรีแอ็กกลับมายังไง เขาฟังรู้เรื่องไหม จะชอบหรือเปล่า แต่เขาก็ดูเอ็นจอย คือแน่นอนเราทำทุกอย่างเต็มที่ และพยายามสนุกบนเวทีให้ได้มากที่สุด แฟนญี่ปุ่นก็กรี๊ด ปรบมือ และแสดงให้เห็นว่าตั้งใจดู”
พูดถึงซิงเกิลที่สอง (Umm Umm) ที่เพิ่งปล่อยออกมาหน่อย เพลงนี้พิเศษตรงที่ได้โปรดิวเซอร์มือทองอย่างเอ้ Botcash มาทำงานร่วมกับเบนซ์-วรเชษฎฐ์ ฐานุพงศชรัช ด้วย
ตุ้ย: “พอมาถึงเพลงที่สอง เรารู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเองเยอะมากจากเพลงแรก ด้วยสไตล์ของเพลงที่มีดีเทลหลายอย่างไม่เหมือนกับซิงเกิลแรก ทำให้ต้องฝึกซ้อมเต้นเยอะมากๆ ขนาดเลโก้ก็ยังต้องปรับเยอะเหมือนกัน
นัท: เพลงนี้เต้นเยอะขึ้น เหมือนเปลี่ยนสไตล์ให้คนอื่นเห็นเราในอีกมุม ว่าเราทำได้หลายอย่างมากขึ้น”
พอเข้ามาเป็นศิลปินจริงๆ การฝึกซ้อมต่างกันไหมกับตอนที่เราแข่งในรายการ
วิลเลี่ยม: “ตอนแข่งมันโฟกัสแค่อย่างเดียว ตั้งตารอแค่หนึ่งเพลง ระเบียบก็ยังไม่ค่อยมาก จริงๆ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินนะ เหมือนเคยคุยกับพี่นัทว่านี่เราเป็นศิลปินแล้วเหรอ เหมือนเรายังเป็นเด็กแข่งธรรมดาอยู่เลย แต่ถ้ามาดูก็คือเรามีวินัยมากขึ้น ทำงานกันเร็วขึ้น เช่นตอนเต้น ตอนแสดง เรารับสิ่งที่ Choreographer บอกมาแล้วทำตามได้เร็วขึ้น เราได้เห็นสิ่งต่างๆ รอบข้างดำมากขึ้นด้วย มุมมองคนอื่นเขาคิดยังไง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มันออกมาดี”
นิยามคำว่าศิลปินอย่างไร
วิลเลี่ยม: “ตอนแรกผมคิดว่าศิลปินต้องเป็นคนเก่งมากๆ คนหนึ่ง พร้อมจะให้ความสุขตลอด มีแฟนคลับเยอะ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าการเป็นศิลปินไม่ง่ายเลย มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะสิ่งที่เรารู้สึก เราต้องใส่ไปในโชว์ของเรา คนดูต้องรู้สึกตามไปด้วย มันกดดันเหมือนกัน ในการทำโชว์ต่างๆ เพราะบางสเตจก็ดูยากไปหมด แต่พอทำไปเรื่อยๆ ความเป็นศิลปินมันมีหลายมุมมองมากกว่าที่คิด ซึ่งเราต้องเรียนรู้อีกเยอะมากครับ”
นัท: “ตอนเด็กๆ ผมคิดว่าศิลปินคือแค่คนที่เต้นหรือร้อง แต่พอโตมาถึงรู้ว่าการเป็นศิลปินมันสามารถสร้างอิมแพ็กต์ให้กับชีวิตของใครหลายคนได้ ผมไม่คิดเลยว่าความเป็นศิลปินจะส่งผลกับแฟนคลับเยอะขนาดนั้น มันไม่ใช่แค่การทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด แต่มันคือความพร้อมที่จะให้ความสุขกับทุกคน”
เลโก้: “ศิลปินคือคนที่สร้างงานศิลปะ ซึ่งศิลปะก็มีหลากหลายรูปแบบ อยู่ที่ว่าศิลปินจะ represent ออกมายังไง อย่างเราเป็นศิลปินด้านอุตสาหกรรมเพลง เราทำเพลงให้คนชื่นชอบ ให้คนฟัง attach ไปกับสิ่งที่เรานำเสนอออกมา มันมากกว่าแค่ร้องกับเต้น เราเหมือนคนของสังคม เวลาทำอะไรอาจจะต้องคิดให้มากขึ้นกว่าคนรุ่นเดียวกัน มันทำให้เราโตขึ้นด้วย และมองเห็นโลกกว้างขึ้น เข้าใจความรู้สึกคนหลากหลายรูปแบบมากขึ้น และรักษาใจคนให้ได้ นี่คือสิ่งที่พวกเรา 5 คนพยายามทำให้ได้ตลอดครับ อย่างเมื่อก่อนตอนผมอยู่ม.ปลาย ผมเรียนกราฟิก ได้เห็นงานของกราฟิกดีไซเนอร์หลายคน พวกเขาก็ถือเป็นศิลปินเหมือนกัน คือศิลปินแต่ละคนเวลาทำอะไรก็จะมีเสน่ห์ในแบบของเขาออกมาอยู่ในงานด้วย เราต้องมีลายเซ็นของเราในทุกอย่างที่เราทำ ถึงเราจะร้องเพลงของศิลปินคนอื่น แต่มันก็จะไม่มีใครร้องเหมือนกัน ลายเซ็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันคือเสน่ห์ที่แตกต่างระหว่างนักร้องกับศิลปิน การนิยามตัวเองว่าเป็นศิลปิน จากเด็กฝึกมาเป็นศิลปิน เรายังรู้สึกแปลกๆ อยู่ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นศิลปินที่ทำงานในสาขาไหน นักร้อง การแสดง หรือมิวสิคัลเธียเตอร์ มันเป็นเรื่องของความเชื่อหรือมุมมองหนึ่งที่ศิลปินเห็น เหมือนแวนโก๊ะ ดาวินชี คนดูก็พยายามคิดว่าเขาพยายามจะสื่ออะไรออกมา”
มองอนาคตของ LYKN ไว้อย่างไรกันบ้าง
ตุ้ย: “เหมือนที่ผมบอกไปทุกครั้งคือไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เราอยากสร้างความสุขให้กับทุกคน ทั้งจากการร้อง การเพอร์ฟอร์ม หรือแค่การมาเจอกัน และการที่เราเป็นวง T-pop เราอยากทำให้ มันไม่ได้อยู่แค่ในไทย เราอยากให้แฟนๆ ทั่วโลกรู้จัก T-pop มากขึ้น อยากให้ไลแคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ T-pop ก้าวไปถึงจุดนั้นได้”
คิดว่าเสน่ห์ของ LYKN คืออะไร
เลโก้: “เอเนอร์จี้ของความเป็นเด็ก เวลาเพอร์ฟอร์มเราเต็มที่สุดๆ หลายครั้งที่เราทำจนบาดเจ็บก็มีมาแล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกรักในการทำ แล้วพอจบจากการเพอร์ฟอร์ม เราก็กลับมาเป็นคนสบายๆ เหมือนเดิม เข้าถึงแฟนคลับได้ จับต้องได้ ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ทุกคนสบายใจที่จะอยู่กับเรา”
Photographer: Pathomporn Phueakphud
Stylist: Piphacha Vonpiankul
Writer: Anya Wan
Photographer Assistants: Posawat Saklam, Panpetch Petchphloy
Stylist Assistant: Naruemol Namkeaw
Produced by Pimpilai Boonjong & Chayanon Chongprasert