Tuesday, November 12, 2024

ศิลปะ: จุดเริ่มต้นและลงท้ายของผู้ชายหัวใจอาร์ต ‘รวิชญ์ เทิดวงส์’

ถ้าย้อนกลับไปในปี 2540 คุณจะพบหน้าผู้ชายคนนี้ได้ในละครดังที่มีเรตติ้งสูง ปิ๊บ-รวิชญ์ เทิดวงส์ พระเอกมาดสำอางที่เล่นประกบนักแสดงหญิงแถวหน้ามามากมาย หลังจากอิ่มตัวในอาชีพนักแสดงเขาก็หันหลังให้วงการ และมาเป็นอาจารย์สอนศิลปะในมหาวิทยาลัยได้พักใหญ่ ก่อนที่ชื่อเสียงของเขาจะถูกกล่าวขานอีกครั้งในฐานะ ‘ศิลปินอิสระ’ อย่างวันนี้

คนใกล้ชิดต่างรู้ดีว่ารวิชญ์ชอบศิลปะมานานแล้ว หากย้อนไปช่วงวัยเด็กในรั้วโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เด็กชายปิ๊บมักถูกเรียกให้ไปวาดรูปโชว์ในวันคริสต์มาสอยู่เสมอ ความหลงใหลทำให้เขาตัดสินใจเบนเข็มไปเข้าเรียนที่ไทวิจิตรศิลปหลังจบมัธยมต้น

“พอเจอเพื่อนใหม่ เขาใส่แต่กางเกงยีนส์กัน ผมก็เจอโลกของตัวเองที่นั่น ตื่นเต้นมาก ร้านเครื่องเขียนก็มีอุปกรณ์มากมายกว่าที่เราเคยเจอ หลังจบไทวิจิตรศิลป ผมก็เอนทรานซ์เข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชานฤมิตศิลป์ จุฬาฯ” ปิ๊บเล่าถึงโลกที่เขาคลุกคลีในช่วงวัยหนุ่ม ซึ่งแวดล้อมไปด้วยผืนแคนวาสและกลิ่นสี

ในจังหวะนั้นเองเขามีโอกาสได้เข้าสู่โลกใบใหม่ หลังจากมีคนเข้ามาทาบทามชักชวน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ

“มีโมเดลลิ่งมาชวนผมตั้งแต่อยู่ไทวิจิตรศิลปปีสุดท้ายแล้ว แต่ใจมันเริ่มแตกตอนเรียนมหา’ลัย มีนิตยสารเล่มหนึ่งถ่ายรูปผมไปให้พี่แอร์-คำรณ ปราโมช แล้วผมก็ได้ถ่ายแบบครั้งแรก หลังจากนั้นก็เดินแบบทุกเวที จนจะเรียนไม่จบเอา เพราะเราเริ่มเห็นรายได้ที่ไม่ใช่ศิลปะแล้วไง อะไรที่รายได้เยอะก็คว้าไว้ก่อน รวบรัดตัดความพอเรียนจบปริญญาตรีก็ไปเรียนศิลปะที่นิวซีแลนด์ปีหนึ่ง กลับมาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่สองสามปี ผมเป็นคนที่สนใจเรื่องพุทธศาสนา ช่วงนั้นได้ไปเจออาจารย์เขมานันทะ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์) ท่านไปวาดสีน้ำมันที่เกาะแตนทางตอนใต้ของสมุย ผมก็ไปด้วย ไปอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่ง ตอนนั้นมันเกิดพลังอะไรบางอย่าง พอกลับมาที่บ้านก็เริ่มวาดสีน้ำมัน”

ปิ๊บไม่ได้มีเวลาทุ่มเทให้กับงานศิลปะเท่าไรนัก เพราะด้วยความที่อาชีพนักแสดงกำลังรุ่ง แต่เขากับศิลปะก็ไม่เคยตัดขาดจากกัน

“ผมเป็นพระเอกเต็มตัวตอนอายุ 27 ยังเอางานที่วาดมาโชว์ในรายการทีวีด้วย และจัดนิทรรศการทุกปีในช่วง 1999-2001 ผมชอบท่องเที่ยว ถ้าไปยุโรป ปารีส ลอนดอน ผมจะเข้ามิวเซียมตลอด ไม่เคยทิ้งศิลปะ แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจที่จะกลับมาวาด เป็นแค่นักวิจารณ์ในใจ”

ผู้ชายร่างสูงที่แววตามีแต่รอยยิ้ม พูดคุยอย่างออกรสถึงสิ่งที่เวียนวนอยู่ในจิตวิญญาณ

“ทำไมถึงกลับมาวาด ความจริงไม่คิดจะวาดแล้วล่ะ เพราะขี้เกียจจับสี แต่เราไม่รู้ตัว สิ่งที่ผมสนใจคือปรัชญา เรื่องธรรมะไม่เคยทิ้งเลยตั้งแต่อายุ 30 ตอนนี้ผม 54 ไม่เคยคิดเลยนะว่าจะเอาสิ่งนั้นมาถ่ายทอดเป็นศิลปะ คือเมื่อสามปีก่อนผมซื้อคอนโดแล้วจะหารูปมาติดที่ห้องกินข้าว แต่หาไม่ได้เพราะมันไม่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ ผมมีโทนสีและขนาดอยู่ในใจหมดแล้ว เลยนั่งคิดว่า เออ เราก็วาดเป็น แล้วทำไมต้องซื้อ ผมเลยไปซื้อเฟรมกับสี ปูพลาสติกในห้องแต่งตัวแล้ววาดภาพแอ็บสแตร็กต์

“พอได้รูปเสร็จสรรพ ผมถูกใจละ เพราะบิลด์ตัวเองให้วาด กำลังอินไง ก็โพสต์ลงเฟซบุ๊ก โอ้โห! กองเชียร์เยอะมาก เราเลยไม่หยุดวาด ตอนแรกคิดว่าวาดรูปเดียวจะพอ แต่มันมีห้องน้ำอีก คราวนี้ไปกันใหญ่เลย แล้วผมก็โพสต์ลงไปว่าจะโชว์เดี่ยว 40-50 รูป แบบมือไวน่ะ 333Gallery เป็นเพื่อนผมในเฟซบุ๊ก เลยเขียนอินบ็อกซ์ไปหา คุณแลนด์ (ประสงค์ คชพันธุ์) ผู้บริหารที่นั่นตอบมาว่า ถ้าพี่อยากโชว์ก็เอารูปมาดูสิ”

นั่นคือจุดเริ่มต้นจริงจังของเส้นทางศิลปะของเขา กลายเป็นที่มาของนิทรรศการ Impetus (2564) ต่อเนื่องมาถึง Tapestry of Life (2565) และ NOT EXACTLY ‘A-NO-NE’ นิทรรศการกลุ่มที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนกรกฎาคม

แม้ว่าประสบการณ์ด้านแสดงงานอาจจะยังไม่มาก แต่ฟีดแบ็กจากผู้เชี่ยวชาญที่มีน้ำหนักคือกำลังใจชั้นยอดของศิลปินเช่นเขา “ผมได้รับคำวิจารณ์จากวงการศิลปะในแง่ดี แต่เราต้องแสดงตัวตนด้วยว่ามีก้าวกระโดด อันนี้แหละคือประเด็นที่ดีมากสำหรับไทม์มิ่งของชีวิตผม เพราะช่วงที่วาดตอนแสดงละครเป็นแค่อินโทรดิวซ์ แต่ตอนนี้ของแท้ละ”

ทำไมต้องเป็นแอ็บสแตร็กต์

“เมื่อก่อนผมวาดแต่ทิวทัศน์ แต่แอ็บสแตร็กต์มันเป็น accident เพราะห้องที่อยากติดต้องเป็นรูปแนวนี้ ผมค้นพบว่าถ้าไม่อิน มันทำไม่สวยถูกใจหรอก คุณต้องอินสิ่งนั้นก่อน อันนี้เป็นหลักของทุกอาชีพอยู่แล้ว ถ้าคุณจะทำธุรกิจ คุณต้องอิน ถ้าไม่อิน ไม่หมกมุ่น มันจะสำเร็จได้ยังไง อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเริ่มบิลด์ตัวเอง กลับไปหาเพื่อนเก่าที่เป็นศิลปิน ไปคุยเพื่อสร้างไฟ เมื่อยี่สิบกว่าปีผมเก็บหนังสือศิลปะของศิลปินคนนั้นคนนี้ไว้เยอะ เลยได้เอากลับมาดู พอวาดสองสามรูปเพื่อติดคอนโดแล้ว หลังจากนั้นก็คลอดออกมาเป็นร้อย ผมมาคุยกับ 333Gallery ทุกวันเลย มาทำไมน่ะเหรอ มายืนดูรูปตัวเอง (หัวเราะ)

“แอ็บสแตร็กต์มันสอนให้คนมีวิธีดูแบบใหม่ คือดูด้วยใจ ไม่ได้ดูด้วยความเข้าใจ ทิศทางของเราคือต้องเป็นตัวของตัวเองก่อนในแง่ของความคิด ต้องมีทัศนคติ แล้วก็ต้องมีรสนิยม ทีนี้รสนิยมมันกว้าง เป็นเรื่องนานาจิตตัง แต่สิ่งที่มันออกมาไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ใช่เรา เพราะเหมือนลายเซ็นน่ะ เซ็นยังไงก็เป็นเรา มันเป็นไปตามสิ่งแวดล้อมที่เราโตมา ตามประสบการณ์ที่เราเห็นมา เวลาทำงานจะมีคนสองคนอยู่ในตัวผม คนหนึ่งคือคนสร้าง อีกคนคือตัวแอปปรู๊ฟ ไอ้ตัวนี้เขี้ยวมาก มันตั้งธงไว้สูงเลยเข้มงวดมาก ไอ้ตัวผลิตมันก็ โอ๊ย! จะเอาอะไรกับกูนักหนา แต่ละเฟรมที่ว่างเป็นเหมือนสนามรบ ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งธงไว้สูงและประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นทุกวันนี้ เป็นเพราะไอ้ตัวเข้มงวดมันตั้งเป้าสูง แล้วก็ไปเคี่ยวเข็ญไอ้ตัวสร้าง

“ตั้งแต่ผมเรียนจบศิลปกรรม ผมไม่เคยคิดจะวาดแอ็บสแตร็กต์เลยนะ ไม่เคยคิดจะหยิบมาเป็นจุดที่จะปลดปล่อยอะไร แต่พอมาถึงวันนี้กลายเป็นความพร้อมที่จะทำ พอจับจุดได้ มันก็ไปดึงสิ่งที่เราเป็นอิสระ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ทั้งหมดมา ผ่านสิ่งที่เป็นเราจริงๆ คือการวาดภาพ ตอนที่ผม 30 กับตอนนี้วัตถุดิบข้างในมันต่างกันมาก ผมมาทำตรงนี้เพราะมันเป็นตัวผมจริงๆ เหมือนปลาเจอน้ำนั่นแหละ ปลากลับมาเจอน้ำอีกทีหนึ่งมันก็กระโดดลงน้ำ เป็นสิ่งที่ผมถนัด แล้วมันอิสระมาก ผมจะเลือกทำยังไงก็ได้ ใช้เทคนิคหรือนำเสนอยังไงก็ได้ เหมาะกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองนะ

“ผมจะอยู่ในสตูดิโอ 6 ชั่วโมงทุกวัน ไม่ได้ออกมาเลย สู้รบกับมัน ไม่ได้นั่งนะ เดินไปเดินมา พอกลับไปบ้านเดี้ยงเลยครับ เพราะเราทำหลายไซส์ ช่วงที่รอให้แห้งก็ทำอีกรูป ซึ่งมันดีนะ ทำให้ปลดปล่อยจากรูปเดิม ศิลปะคือความท้าทายสำหรับผม มันอินสไปร์ มันให้ผมต่อสู้ เพื่อนผมบางคนบ้าขับรถมาก ชอบแข่งรถ บางคนชอบเทรกกิ้ง ไปสถานที่แปลกๆ เราเคยคิดนะ ‘มึงไปปีนทำไม เหนื่อยเปล่าๆ’ เขาก็ถามเราว่า ‘แล้วมึงทำอะไรอยู่ในห้อง 6 ชั่วโมงทุกวัน’ ผมคิดว่าผมคงเหมือนพวกเขานั่นแหละ คืออยากพิชิต”

แล้วคุณตั้งเป้าพิชิตไว้ที่ระดับไหน

“ผมไม่ได้ตั้งเป้าคนเดียว ผมเป็นพาร์ตเนอร์กับ 333Gallery ผมตั้งเป้าร่วมกับเขาว่าอยากไปโชว์ข้างๆ ศิลปินระดับโลก แต่การจะสำเร็จแบบนั้น เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง หรือความคิดตัวเองก่อน ถ้าถามว่าผมชื่นชมงานตัวเองไหม…ไม่เลย ผมมองแต่จุดเสีย มีคำพูดหนึ่งที่ผมคิดเองนะ สวยคืออะไรรู้ไหมในการทำงานน่ะ สวยคือการมองหาจุดที่ไม่สวยแล้วหาไม่พบ นั่นแหละสวย”

ติดตามชมนิทรรศการครั้งต่อไปของรวิชญ์ เทิดวงส์ และเพื่อนศิลปินอีก 7 คน ในโปรเจ็กต์ Sensory Pathways หมุดหมายใหม่ของวงการศิลปะที่ไม่ใช่แค่การจัดแสดงในแกลเลอรี่ หากเป็นการเสพศิลป์ผ่านโสตประสาทต่างๆ ทั้งการได้ยินเสียง การสัมผัส การชิม การดื่ม การดมกลิ่น สำรวจโลกศิลปะที่ไม่เหมือนใครและแตกต่างจากขนบเดิม จัดแสดงเป็นเวลาแปดเดือน เริ่มวันที่ 28 กันยายนเป็นต้นไป ณ โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี เกาะสมุย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.333Gallery.com

Photographer: Ponpisut Pejaroen (@Topponpisut)

Other Articles