
“สวัสดีครับ ผม…ริวครับ”
ละครมาตาลดาปิดกล้องแล้วใช่ไหม
“ออนแอร์แล้วพี่”
…..
อืม ตอบได้ดีนะ (จำไว้) นี่แหละตัวจริงของเขาล่ะ…‘ริว’ วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล ชายหนุ่มร่างสูงผู้รับบทไตรฉัตร ในเรื่องมาตาลดา ละครโรแมนติกฟีลกู๊ดซึ่งมีแต่เสียงชื่นชม ริวเป็นหนึ่งในนักแสดงนำที่สร้างสีสันให้กับละครเรื่องนี้ บทบาทที่เจ้าตัวเล่าว่า “ผมเล่นเป็นคนเจ้าเล่ห์แต่ไม่ร้าย สิ่งที่ไตรฉัตรทำไปเพราะว่ามีปมที่บ้าน เขาถูกเปรียบเทียบตลอดเวลา อย่างที่บ้านจะชอบพูดว่าทำไมเราไม่เป็นหมอเหมือนพี่ปุริม (เจมส์ จิรายุ) ทำให้เราต้องแข่งกับเขาตลอดเวลา พอเห็นว่าพี่ปุริมมีอะไร เราจะไปแย่งมา หลักๆ จะเป็นเรื่องความรักที่เราจะเข้าไปแย่งคนรักของเขา ไม่ว่าจะเป็นอรุณรัศมี (อแมนด้า ชาลิสา) หรือมาตาลดา (เต้ย จรินทร์พร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอยากให้ที่บ้านรู้สึกว่าเขาทำได้นะ เขาชนะพี่ปุริมได้ จนตอนหลังถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร

“คาแร็กเตอร์ไตรฉัตรสะท้อนให้เห็นว่า คนเราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบหรือแข่งกับใคร ครอบครัวไตรฉัตรในเรื่องนี้ หากมองในมุมลูก ถ้าพ่อแม่แค่ยอมรับและรักลูกอย่างที่เขาเป็น มันจะดีกว่าเอาเขาไปเปรียบเทียบ อย่างตัวลูกที่โดน กดดันนะ เขาไม่มีความสุขหรอก ไม่มีใครอยากโดนเปรียบเทียบ และกลับกัน ริวว่าความสบายใจดีกว่า เราสบายใจแค่ไหนก็เป็นแค่นั้น ไม่ต้องไปพยายามที่จะชนะ หรือชิงดีชิงเด่นกับใคร”
ในชีวิตจริงเราเคยเจออะไรแบบนี้ไหม
“เคยครับ ริวเป็นนักกีฬาปิงปอง (เยาวชนทีมชาติ) มาก่อน เราไม่อยากแพ้ ริวจะมองเพื่อนตัวเองเป็นคู่แข่ง แล้วพอไปซ้อม เราจะมองว่าไอ้เนี่ยเป็นคู่แข่ง ทำให้มันไม่เวิร์กเท่าไร ถ้ามองเป็นเฟรนด์ชิปจริงๆ มันปวดหัว อย่างเวลาซ้อมก็จะรู้สึกว่าอย่าไปเผยจุดอ่อนให้เขาเห็น แต่ท้ายสุดแล้วทุกคนมีจุดอ่อนทั้งนั้น เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอ พอริวผ่านจุดนั้นมาเข้าวงการ กลับกลายเป็นว่าริวไม่อยากให้ตัวเองมีนิสัยต้องไปแข่งอะไรกับใครอย่างนั้น มันเหนื่อย เราแค่แข่งกับตัวเอง และพัฒนาตัวเองดีกว่าไปมองว่าใครเป็นคู่แข่งเรา”

คิดว่าตัวเราเล่นเป็นไตรฉัตรได้สมบทบาทขนาดไหน
“มาตาลดาเป็นเรื่องที่สามของริว ถ้าเรื่องการแสดงคิดว่าริวยังใหม่อยู่ ตอนแรกๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจ บุคลิกเราเป็นคนขยับตัวเยอะโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เวลาแสดงพี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์) ผู้กำกับอยากให้นิ่งกว่าเดิม ทำให้มันโตขึ้น แล้วก็เรื่องของความคิดที่ซับซ้อน แรกๆ รู้สึกว่าบทนี้ยากจัง คือเราพยายามจะเป็นตัวไตรฉัตร พยายามที่จะคิดซับซ้อน พยายามที่จะทำยังไงให้ตัวเองดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ตอนหลังพอได้อยู่กับเขามากขึ้น บวกกับประสบการณ์ได้เจอพี่ๆ ได้ดูเขาเล่นก็เอามาปรับใช้ ทำให้เราไม่ต้องพยายามที่จะเป็นขนาดนั้น แค่เราอินกับสิ่งที่ตัวละครเจอจริงๆ แล้วพอเจออะไรก็จะรู้สึกว่ามันเหมือนแมจิกโมเมนต์ แต่ริวยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ บทนี้ถือว่าเป็นครูของริวเลยนะ”

ถ้าริวเป็นคนดู ตัวละครไหนในเรื่องที่รู้สึกว่ามีเสน่ห์ และเพราะอะไร
“ริวชอบพี่ชาย ชาตโยดม กับพี่เจมส์จิ ริวคิดว่าในสังคมเรา การเป็นเพศทางเลือกแต่ที่บ้านไม่ยอมรับ รู้สึกว่าพี่ชายถ่ายทอดออกมาได้ดีเลย ด้วยความที่พ่อแม่ไม่ยอมรับ แต่เขาอยากเลี้ยงลูกให้ดีในฐานะพ่อคนหนึ่ง มีวันหนึ่งที่เขาได้ปลดล็อก ได้ไปเจอกับพ่อแม่เขาอีกครั้ง ริวรู้สึกว่ามันว้าว! ส่วนพี่เจมส์จิ ริวชอบการแสดงของพี่เขา มันละมุนและเก็บรายละเอียดทุกเม็ดเลย แบบเป็นคนนิ่งและเก็บกดข้างใน
“เรื่องนี้ริวว่าสะท้อนอะไรหลายอย่าง นอกจากฟีลกู๊ดแล้ว มันยังแทรกซึม จริงๆ คนที่มีความหลากหลายทางเพศก็คือคนเหมือนกันน่ะครับ เรื่องนี้นำเสนอชีวิตของคนปัจจุบัน ริวว่าถ้าครอบครัวได้นั่งดูด้วยกัน มันได้มากกว่าความสนุกนะ มันจะยิ้มไปด้วย แล้วก็น้ำตาคลอไปด้วย”

พูดถึงอแมนด้าสักนิด ไหนๆ ก็เข้าฉากด้วยกันมากที่สุด ก่อนได้เจอกันจริงๆ นึกภาพไว้แบบไหน
“มิสยูนิเวิร์ส!…พอเจอครั้งแรก พี่เขาสวยสมมงครับ ตื่นเต้นนิดนึง แต่ด้วยเคมีตอนที่ทำงานด้วยกัน รู้สึกว่าคาแร็กเตอร์ริวกับอรุณศรี พอได้เวิร์กช็อปด้วยกัน เล่นด้วยกัน มันจูนติดทันที เหมือนแบ็กกราวด์ของเรามันแน่น เหมือนคนที่รู้ทันกัน เวลามองตาเราจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาเองก็รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ สนุกครับบทนี้ ริวเห็นความตั้งใจของพี่อแมนด้าตลอด เขาเป็นคนเก่ง เป็นคนน่ารัก”
แพลนเรื่องงานแสดงไว้อย่างไร ณ วันนี้
“ถ้าเป็นเด็กคงอยากได้รางวัล ตอนนี้แค่รู้สึกว่าเอาปัจจุบันนี่แหละ ทำผลงานที่เรากำลังถ่ายอยู่ให้ดีก่อน ที่เหลือริวว่าถ้าได้ก็ดี มันคือกำไรชีวิต ริวยังไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องไปถึงตรงนั้น เพราะรู้สึกว่าระหว่างทางมันสำคัญมากกว่า”




สนใจบทไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
“โชคดีมากที่ช่องสามให้โอกาสริวเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ทุกเรื่องเลย ที่อยากเล่นจริงๆ คือคาแร็กเตอร์ที่แปลกใหม่ ริวชอบการแสดง ชอบดนตรีไทย ศิลปะไทย ชอบวัฒนธรรมไทย ชอบแนวพีเรียด อยากใส่ชุดไทย เป็นคนที่ติ่งอะไรเกี่ยวกับวรรณคดี เมื่อคืนเพิ่งฟังเพลงลาวดวงเดือน เปิดฟังระนาดเอก ชอบมาก”
อะไรในชีวิตที่มาก่อนสิ่งอื่นเสมอ
“งานครับ เพราะรู้สึกว่าสำคัญ เราทิ้งปิงปองมาแล้ว งานแสดงเป็นอาชีพเราถ้าพูดตรงๆ เลยรู้สึกว่าอยากทำงานให้ดี แล้วก็ให้ป๊าม๊าภูมิใจ”

ชีวิตคนในวงการบันเทิงอาจต้องแลกกับบางอย่าง ริวล่ะมีอะไรไหมที่จะไม่ยอมแลก
“ผมไม่เคยคิดมุมนี้นะ เคยคิดแต่ว่าตัวเองยอมแลกอะไรบ้าง ถ้าสิ่งที่ยอมแลก ริวว่าริวยอมมาตั้งนานแล้ว ปิงปองริวก็ยอมไม่เรียน ไม่มีเพื่อน ม.ปลายไม่มีเพื่อนเลย ริวไปเรียน กศน. ที่วัด เรียนวันเดียว นอกนั้นซ้อมปิงปองทุกวัน อันนั้นคือการยอมแลกเพื่อปิงปอง
“การเป็นนักแสดงก็คือริวไม่เที่ยว ถามว่าเป็นเด็กดื้อแหละ แต่พยายามที่จะไม่ไห้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น หมายถึงรู้สึกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันยาก แล้วถ้าทำตัวไม่ดี ริวรู้สึกว่าไม่คุ้มเลยกับการที่ทำงานนี้เพื่อครอบครัวเรา ริวจะมองคนข้างหลังมากกว่าตัวเอง เพราะฉะนั้นริวจะไม่ยอมแลกกับอะไรที่มันทำให้ชีวิตเราพัง ทำให้งานตัวเองพัง มองยังไงก็ไม่คุ้ม เราอยากให้คนข้างหลังสุขสบาย อะไรที่สุ่มเสี่ยงก็อย่าเลย”

ทั้งกีฬาและการแสดงมันสอนอะไรเราบ้าง
“สิ่งที่สอนเหมือนกันเลยคือวินัย ถามว่าเสน่ห์ของปิงปองคืออะไร ริวว่าปิงปองทำให้ริวเป็นริวในวันนี้ ไม่รู้นะว่าเสน่ห์ของมันคืออะไร แต่ว่าริวผ่านอะไรมากับกีฬานี้เยอะมาก ทั้งเรื่องของครอบครัวที่กว่าจะมาถึงจุดที่ติดเยาวชนทีมชาติ ผ่านการซ้อม ผ่านสังคมของการแข่งขัน ผ่านเพื่อน มันทำให้เป็นริวทุกวันนี้จากเวอร์ชั่นที่ไม่เคยเข้าสังคมมาก่อน วงการกีฬาสอนว่าการแพ้ชนะคืออะไร มันขัดเกลาริว ทั้งเรื่องระเบียบวินัยและทุกๆ เรื่อง อย่างความเหนื่อยมันก็สอนริว จนทำให้รู้สึกว่าพอมาแสดง ริวพร้อมเหนื่อย เพราะกว่าริวจะไปถึงปิงปองได้ โห! ซ้อมหนักมาก และกลับกัน ริวจะมองว่าคนที่เก่งเรื่องการแสดงอย่างพี่เจมส์จิ พี่ชาย ริวมองว่าเขาเป็นนักกีฬาที่ซ้อมมาจนกล้ามเนื้อเขาจำไปแล้วว่าการแสดงคืออะไร จนมันไม่ต้องเล่น เพราะกล้ามเนื้อมันจำไปแล้ว ในการแสดงริวก็ยังนึกว่าตัวเองเป็นนักกีฬา แค่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นนักแสดง ซึ่งเราก็ต้องฝึก ต้องเวิร์กช็อป เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก”

ทำไมถึงชอบการแสดง
“เพราะได้แสดงนี่แหละ เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจนะว่าคนที่เป็นนักแสดง สิ่งที่เขารักหรือชอบจริงๆ คืออะไร แต่พอเราได้มาเป็นนักแสดงบ้าง ได้แสดงเป็นคนอื่นๆ ในเรื่อง คำตอบอาจจะจำเจนะ…แค่พอเราได้เล่นบทที่อยากเล่น หรือพอเราได้เป็นตัวละครที่เราไม่เคยเป็น ข้างในมันฟุลฟีลมาก”
ถ้าในชีวิตนี้มีหนังให้ดูแค่ 3 เรื่อง
“Shawshank Redemption (1994) เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกจำคุกตลอดชีวิต ด้วยข้อหาฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ เรื่องที่สอง Green Book (2018) ริวดูไป 6-7 รอบ ชอบมาก สร้างจากเรื่องจริงด้วย ดูแล้วอิ่มเอม เรื่องที่สาม ริวให้โหมโรง (2004) ความตลกคือพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์) เล่นเรื่องนี้ ริวชอบนักแสดงรุ่นพี่ๆ อยู่แล้ว มีวันหนึ่งได้เจอพี่บีบี (เอกนรี) เราก็เดินไปบอกว่า ‘พี่ ผมชอบพ่อพี่มากเลยนะ ผมอยากทำงานกับพ่อของพี่มาก’ (หัวเราะ)”
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Special Thanks: vvonsugunnasil