Sunday, May 25, 2025

มิ้น มิณฑิตา กับศรัทธาและค่านิยมที่เลือกจะเชื่อ ในวันที่เธอเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่

มิ้น-มิณฑิตา วัฒนกุล นักแสดงเนื้อหอมที่ผู้จัดหมายปองไปร่วมงานมากพอตัว เพราะด้วยฝีมือการแสดงอันฉกาจฉกรรจ์ มิ้นคลุกคลีอยู่ในวงการมานาน ไม่บ่อยนักที่เธอจะอัพเดตชีวิตให้แฟนๆ รับรู้ เราเลยสบโอกาสชวนเธอมาพูดคุย หวนย้อนอดีตพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ รวมถึงเรื่องราวความรักที่น่าอิจฉาของเธอ

“ปีนี้เป็นปีที่ละครออนแอร์ค่ะ เพราะมีถ่ายไว้ปีที่แล้วสะสมมา 5 เรื่อง ออนแอร์ไปแล้วหนึ่งเรื่อง เหลืออีกสี่เรื่องก็มี ‘กามเทพก้นครัว’ ‘รักสุดใจ ยัยตัวแสบ’ ‘มาตาลดา’ และสุดท้าย ‘Thank You Teacher’ เป็นละครรีเมกจากเกาหลี คนดูจะได้เห็นบทบาทที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละเรื่องคาแร็กเตอร์ไม่เหมือนกันเลย” มิ้นเล่าถึงผลงานที่กำลังทยอยออกมาให้ผู้ชมได้เสพความสนุก

ก่อนเข้าสู่วงการแสดงเต็มตัว หลายคนจับตาดูความเจ๋งของเธอในสถานะลูกสาวนักแสดงชื่อดัง โกวิท วัฒนกุล ที่ได้โลดแล่นเป็นนักล่าฝันในบ้าน AF 3 “ตอนนั้นเพื่อนขอให้ไปเป็นเพื่อนเพราะเขาขี้อาย ส่วนเราด้วยเนเจอร์แล้วก็คือหน้าไม่อายมาตั้งแต่เด็ก เหมือนกับไปเป็นกำลังใจ โชว์อภินิหารให้กรรมการดูเฉยๆ เอ้า! ดันได้ขึ้นมา ทำไงล่ะ กลับบ้านไปนอนร้องไห้เพราะคิดว่าแม่คงไม่ให้ โชคดีเหลือเกินแม่เป็นแฟนคลับ AF 2 แม่บอกไปเลยลูก ตอนนั้นยังเด็กมาก อายุสิบแปดแต่เหมือนเด็กสิบขวบ คือยุคเราโตช้า และถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหินด้วย เลยเป็นนักล่าฝันที่ไม่กล้าตามหาฝันของตัวเองสักเท่าไหร่

“ตั้งแต่เด็กมิ้นถูกจับให้เป็นน้องมิ้นผู้เรียบร้อย มีความเป็นหญิงไทยใจงาม ห้ามตัดผม ห้ามทำสี มันจะมีกรอบของสังคมที่ทำให้เราต้องใช้เวลาเรียนรู้กับความรู้สึกที่ว่า ใช่เราจริงๆ เหรอ” ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ (มิ้นแซวตัวเองว่าโดนเข็มมาเยอะ) ในวัย 35 สวนทางกับวาจาที่ผ่านการตกผลึก “ต้องยอมรับว่ามิ้นเข้ามาวงการนี้ด้วยการจับพลัดจับผลู พอมีโอกาสให้ทำอะไรเราก็ไม่กล้าปฏิเสธ วัฒนธรรมที่ถูกปลูกฝังมาคือผู้ใหญ่ว่าอะไรให้ทำตาม เคยชินกับวิถีที่เราเป็น ทำให้เราไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำขนาดนั้น ตอนเด็กๆ ถ้าวันนั้นเราไม่ถูกจำกัดขอบ ความฝันในหนังสือมันเยอะมาก เราฝันไกลฝันใหญ่ แต่ว่าเราถูกสั่งให้ปิดหนังสือเล่มนั้น แล้วใช้ชีวิตตามหลักเกณฑ์ไปแล้ว

“มิ้นใช้ชีวิตอยู่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้างค่อนข้างเยอะ เพราะปกติส่วนใหญ่จะโฟกัสเรื่องของการทำเพื่อให้ที่บ้านอยู่รอดปลอดภัย เลยทำให้เรามักคอยหาข้อเสียที่ตัวเองจะต้องทำให้ดีกว่านี้ ไม่ชินกับการ affirm กับตัวเองว่าเราทำได้ดีเพราะอะไร ชอบเผลอเอาความคิดคนอื่นที่เป็นคอมเมนต์ด้านลบมาย้ำกับตัวเองมากกว่าที่จะเอากำลังใจมาย้ำด้วยซ้ำ ‘ได้เพราะพ่อแหละ เพราะเป็นลูกดารา มีกระแสเพราะเป็นลูกพ่อ’ จนทุกวันนี้ก็มีคนย้ำกับเราแบบนี้ ซึ่งมิ้นคิดว่าคาแร็กเตอร์เรามันดื้อน้อยไปด้วยมั้ง เลยมีคนกล้าพูดแบบนี้กับเรา แล้วเราก็ไม่ได้เชื่อมั่นตัวเองมากพอ ก็เป็นเจอร์นีย์หนึ่งที่เราต้องพยายามต่อสู้กับตัวเอง”

เพราะคาแร็กเตอร์ตัวละครส่วนใหญ่ที่รับเล่นอาจทำให้ภาพจำของคนดูมองว่าเธอต้องเป็นสาวแซบ เฟียร์ซ มั่นใจ ล่าผู้ชาย แต่เปล่าเลย “ตัวจริงเรามันด๋อยอะ ไม่ใช่สาวซ่า เคยมีพี่คนหนึ่งมาพูดตอนที่มิ้นตัดสินใจว่าเราควรพอหรือยังกับการแสดง ไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วทำงานไหม พี่เขาบอกว่ามิ้นอยู่ไปเลย มิ้นจะมีงานตลอดไปในวงการแสดง เขาพูดแบบนี้ มิ้นไม่เข้าใจความหมายนะว่าจะมีได้ไง เพราะอาชีพนี้เราต่างได้ยินว่าดาราพอแก่ก็ยิ่งไม่มีงาน เขาพูดต่อว่ามิ้นจะเล่นบทอะไรได้อีกเสมอในช่วงวัยที่เหมาะสมของมิ้น ถ้าถามตัวเอง มิ้นยังสนุกเสมอเวลาที่มีบทอะไรใหม่ๆ ให้ทำ และถ้าเป็นไปได้ในวัยที่โตขึ้น ณ วันนี้สิ่งที่คิดก็คืออยากตัดสินใจให้ดีมากขึ้นในเวลาที่มีบทอะไรเข้ามาว่ามันให้อะไรกับเราได้บ้าง ให้อะไรกับสังคมได้บ้าง และถ้ามันไม่ได้ตอบโจทย์ข้อใดเลยก็ควรเรียนรู้ที่จะปฏิเสธออกไปบ้าง

“ถ้าย้อนกลับไปมองเส้นทางของตัวเอง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาถ้าจะเสียใจก็แค่ว่ามิ้นไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองฝันเป็นหลัก มิ้นทำเพื่อโอกาสในการดูแลครอบครัวเป็นหลัก แต่มิ้นก็ภูมิใจในตัวเองมาก เพราะนั่นคือ priority ของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ทำแค่เพื่อเงินอย่างเดียว ทุกครั้งที่ไปทำงานมิ้นบอกตัวเองทุกวันว่าทุกวินาทีเราต้องมีความสุขกับงานตรงนี้ เพราะนี่คืองานที่เรารัก แล้วเราต้องเก่งจริง เราต้องทำได้ อย่างน้อยเราต้องเติบโตจากตรงนี้ สมมติละครเรื่องนี้ไม่อยากเล่นเลย อาจจะไม่ใช่บทที่เราอยากทำ แต่ว่าถ้าเราจะทำมันต้องได้ประสบการณ์หรือต้องได้พัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านการแสดงหรือด้านการเข้าสังคมอยู่กับคน หรือโซเชียลสกิลก็ตาม อะไรที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ และสามารถส่งมอบผลงานดีๆ ให้กับผู้ชม มิ้นจะไปให้สุด นั่นเป็นเหตุผลที่มิ้นเชื่อว่าถึงแม้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้วไม่ได้ร้องเพลง แต่ผลงานการแสดงของเรา เราภูมิใจทุกอันเลยว่าเราทำสุด ทำเต็มที่ เวลาได้รับคำชมจะไม่ได้รู้สึกว่า ทำไมถึงชมเราล่ะ แต่มิ้นรู้สึกว่า ใช่ ฉันตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย ขอบคุณจริงๆ ที่เห็นว่าฉันอยากทำให้ตัวละครนี้มีชีวิต ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นตัวเอกของเรื่อง แต่ฉันอยากให้คุณจดจำเขา เพราะเขาเป็นตัวละครตัวนี้จริงๆ มิ้นเลยรู้สึกว่าหลายครั้งมันอาจจะไม่ใช่งานที่เรารัก แต่เพราะเรารักในงานที่ทำ โอกาสที่ได้รับจากงานที่คิดว่าจะไม่รัก มันก็รักได้ เส้นทางและโอกาสทั้งหมดที่มีเข้ามามันทำให้เราสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ทำให้เราเติบโตมีความสามารถมากขึ้น”

ถึงแม้จะมีงานแสดงไม่ขาดสาย ขณะเดียวกันมิ้นก็พยายามรื้อค้นความฝันขึ้นมาถามตัวเองใหม่ “ตอนเด็กๆ มิ้นเข้าใจว่าเราแค่ชอบร้องเพลง ไม่เห็นภาพตัวเองว่าฉันจะต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเวทีแล้วทุกคนมาดูคอนเสิร์ต ไม่มีความฝันแนวนั้น แต่มิ้นเอ็นจอยกับการร้องเพลง ยิ่งพอเราอยู่ในวันที่ appreciate เสียงเรา แต่ก็มีวันที่เราไม่ชอบเสียงตัวเองเหมือนกันนะ ร้องทำไม เงียบๆ (หัวเราะ) แล้วพอได้เห็นคนที่ appreciate ตรงนั้นไปกับเราด้วย มันมีความสุขและภูมิใจ รู้สึกว่ามีคุณค่า นั่นอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มิ้นยังไม่ทำเพลงสักที เพราะอยากที่จะเพลินหูตัวเองเป็นหลักก่อน แล้วให้คนที่ติดตามค่อยๆ เพลินไปกับเรา

“มิ้นเคยมีเพลงดังแล้วรู้ว่าความสุขไม่ได้มาทุกงาน พอเป็นสิบๆ งานก็เริ่มละ เพลงเดิมอีกแล้วเหรอ มันจะมีจุดนี้นิดหนึ่ง แต่ถามว่าเราไม่มีความสุขเหรอ ก็ไม่ใช่ แต่แค่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอกว่ามีเพลงดังแล้วจะมีความสุข มิ้นไม่ได้อยากทำเพลงไวรัล อยากทำเพลงที่ได้ค้นหาตัวเอง แล้วมีแบรนดิ้งชัดเจน ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการค้นหา ตามหาว่าแบรนดิ้งตัวเองจริงๆ คืออะไร สิ่งที่เราชอบและอยากให้คนเข้าใจไปกับเราคืออะไร มันอยู่ในกล่องค่ะ ต้องใช้เวลาในการแกะออกมา และใช้ความกล้าในการค่อยๆ จัดการมันอีกครั้งหนึ่ง

“พอโตถึงวัยหนึ่ง สิ่งที่น่ากลัวกว่าเดิมก็คือเราคิดเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เรามีความรับผิดชอบอยู่มือหนึ่ง และยังมีความฝันที่พยายามจุดเชื้อเพลิงอีกมือหนึ่ง มันค่อนข้างยากเหมือนกันที่จะบอกตัวเองว่าทำอะไรดี ไปทางไหนต่อดี โชคดีที่มีคนรอบข้างคอยเตือนว่าอย่ามัวแต่เปิดรับโอกาสที่เข้ามา เอาเวลามาทำงานของตัวเองด้วย ตอนนี้ยังสัญญาไม่ได้ว่าจะยังไง แต่ว่าพยายามตามหาพื้นที่ที่จะทำเพลงอยู่ค่ะ”

ครอบครัว การแสดง และเสียงเพลง เป็นส่วนผสมในชีวิตที่มิ้นให้ความสำคัญ ไม่ต่างจากความรัก โลกรู้ดีว่าเธอคบหาอยู่กับซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ นักร้องสาวผู้มาดมั่นและเป็นตัวเองสุดๆ มิ้นตอบคำถามส่วนตัวเกี่ยวกับมุมมองความรักในวัยนี้ของเธอว่า “ถ้าพูดถึงภาพรวมของตัวมิ้นเองนะ มิ้นอยากมีพื้นที่ที่เป็นเซฟโซน ต้องการคนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย ในขณะเดียวกันเราต้องรู้สึกสปาร์กด้วย มิ้นต้องการความเข้าใจจากเขาในแง่การยอมรับตัวตนของเรา นั่นคือคำว่าปลอดภัยสำหรับมิ้น ความหมายคือมิ้นเป็นมิ้นได้ แล้วยังได้รับการยอมรับไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตาม มิ้นอยากได้คนที่อยู่ข้างๆ แล้วทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาจะรักเรา ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกอย่างของเราถูกใจเขา

“มิ้นเชื่อว่า ณ โมเมนต์นี้คือความรักแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาถ้ายึดตามแบบแผนหรือที่ผู้ใหญ่สอนมาก็คือหาสามี สร้างครอบครัวมีลูกจะได้มีคนดูแล แต่มิ้นรู้สึกว่าครอบครัวหรือคนที่จะอยู่ข้างเราและเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิต เราต้องหาคนที่เข้าใจกันก่อนหรือเปล่า เข้าใจชีวิตในแบบเดียวกัน มีแวลูที่ถือคล้ายๆ กันให้ได้ก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดใจของเราต้องรักเขาก่อน ไม่ใช่เขารักเรา มิ้นรู้สึกไม่เชื่อใจคนที่ให้เราเยอะๆ รักเรามากๆ เท่ากับคนที่เราเลือกที่จะรัก ถ้าเรารักเขามากๆ รู้สึกดีกับเขา มิ้นว่าจะอยู่ได้ยั่งยืนมากกว่า เพราะต่อให้เขารักเรา ดีกับเรา ให้เรามากกว่า แต่ใจเราลึกๆ ไม่ได้รักเขา ระยะยาวก็คงอยู่กันไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นมิ้นจะเลือกจากจุดนี้ก่อน คือชอบคนที่ใช่ คนอื่นว่าสำคัญหรือไม่สำคัญไม่ซีเรียส ถ้าเรารู้สึกว่าคนนี้ใช่ แล้วบังเอิญเขาชอบเราเช่นกัน มันไปต่อได้”

ใช้เวลาคิดนานไหมกว่าจะเปิดตัว

“มิ้นว่าตัวเองอาจจะเป็นคนคิดน้อย ไม่ค่อยคิดอะไรกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คือโดยส่วนตัวแล้วเรื่องความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเราอยู่ดี แต่พอเรามีความสุขกับมัน เราก็ไม่ได้อยากปิด พูดตรงๆ ว่าในโมเมนต์หวานฉ่ำ เราก็อยากอวดด้วย (หัวเราะ) มิ้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้มันเริ่มต้นแบบว่าเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องที่มีคนมาสนใจ แล้วมิ้นเป็นคนที่ไม่ปิดอะไรอยู่แล้ว เวลาคนถามก็ค่ะ ก็ใช่ เลยทำให้ออกไปโดยที่ไม่ได้คิดเยอะว่าจะมีอะไรตามมา”

และแล้วผลที่ตามมาก็คือ

“มิ้นว่าตัวเองโชคดีค่ะ อาจจะเพราะอย่างนี้แหละเราถึงเปิดโดยที่ไม่ได้ซีเรียส ไม่เหมือนตอนเด็กที่อาจจะคิดเยอะกว่านี้ว่าโพสต์อะไรได้บ้าง แต่วันนี้มิ้นอายุ 35 เป็นผู้ใหญ่ในแง่ที่ว่าเราเข้าใจแล้วว่าดูแลตัวเองได้ แถมดูแลครอบครัวด้วย มิ้นเข้าใจและเชื่อมั่นในเหตุผลประกอบการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้นแล้วว่าความสัมพันธ์ของมิ้น คนที่ตัดสินใจมีแค่มิ้นคนเดียว ไม่ควรเป็นคนอื่น ไม่ว่าคนอื่นใดนั้นจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อนสนิท หรือใครก็ตาม มิ้นคิดว่าพวกเขาให้ความคิดเห็นได้ แต่ไม่ควรตัดสินใจแทนเรา เพราะฉะนั้นเมื่อมิ้นเข้าใจและเชื่อมั่นแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือหาให้เจอว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ แล้วก็ทำและตัดสินใจในแบบที่ตัวเองเชื่อ ไม่ว่าคนรอบข้างจะบอกว่าเดี๋ยวก็ตัดสินใจผิดพลาดขึ้นมาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าทุกคนต้องเคยผ่านการพลาดกันมา พลาดแล้วก็แก้ใหม่ ตัดสินใจใหม่ ก็จบ ก็ได้เรียนรู้ ไม่ใช่ว่าต้องเรียนรู้จากคำสอนนี้ แล้วไม่ทำบางสิ่งบางอย่างเลย อันนั้นไม่ได้เรียนรู้ นั่นคือเชื่อตามๆ กันมา

“แล้วสิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเข้ามาก็คือไม่ใช่แค่เรารู้ว่าชอบอะไรแล้วมันจบ สิ่งที่จะทำให้ชีวิตราบรื่นส่วนหนึ่งก็คือ ใครที่เป็นคนสำคัญในชีวิตเราจงสื่อสาร สื่อสารในแบบที่เรารู้ว่าเขาจะเข้าใจมัน อย่างเช่นทันทีที่มิ้นรับรู้ มิ้นพิมพ์บอกเพื่อนสนิทว่าความสัมพันธ์เป็นแบบนี้นะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาทุกคนไม่เคยรับรู้ว่ามิ้นจะชอบผู้หญิง เพื่อนสนิทที่คบกันมาสามสิบปีก็ไม่เคยเห็นว่าคบผู้หญิง ไม่เคยมีแม้แต่พี่ทอมมาจีบแล้วชอบ มิ้นไม่เคยแสดงออกในมุมนี้เลย ยังคิดอยู่ว่าเพื่อนจะเข้าใจไหมเนี่ย บอกไปก่อนแล้วกันว่าเจอคนนี้แล้วชอบ รู้สึกประทับใจแล้วอยากจะสานความสัมพันธ์ต่อไป อยากให้รับรู้ก่อนว่าไม่ได้หมายความว่าฉันชอบผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้นะ มันแค่ฉันชอบคนคนนี้ โชคดีที่เพื่อนทุกคนเข้าใจ

“มิ้นว่าหลายคนอาจจะมีปัญหาในความสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่าปมเราคือต้องเข้าใจฉันสิ ทำไมไม่เข้าใจลูกตัวเอง มิ้นแบ่งเป็นสามข้อนะ ถ้ารู้ว่าคุยกับเขาได้ มีความสัมพันธ์ในระดับที่ทำความเข้าใจกันได้ คุยเลย มันคงแน่นแฟ้นและมีความสุขมากๆ ที่ได้รับความเข้าใจ แต่ถ้ารู้สึกว่าเขาอาจจะยังมีความไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งคุย เอาไว้วันที่เขาอยากเปิดใจคุยค่อยคุย การที่เขาไม่ต่อต้านตัวตนของเราถือเป็นการยอมรับขั้นหนึ่งละ และข้อสุดท้าย อย่างน้อยที่สุดสื่อสารให้เขารับรู้ว่า เรารู้นะว่าคุณรักฉัน ขอบคุณ ฉันกำลังเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ฉันมีความสุข ฉันเลือกแล้ว ขอให้คุณภูมิใจ มิ้นเชื่อว่าการสื่อสารแบบนี้ คนที่เรารักก็จะไม่เป็นห่วง แล้วเขาจะเห็นความสัมพันธ์นี้เบ่งบานไปพร้อมกับใจของเขาเหมือนกันที่เห็นเรามีความสุข”

แล้วมิ้นเลือกใช้ข้อไหนกับครอบครัว

“บ้านเราจะมีวิถีที่คุยรายละเอียดลงลึกเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ถามว่าสบายๆ หลวมๆ ไหม บ้านมิ้นค่อนข้างหลวมนะ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีความตึงเครียดในรูปแบบของเขา เลยกลายเป็นว่าพอเรารู้วิถีของเขาและยอมรับ เลือกที่จะมองในวิถีของเขาก่อน แทนที่จะบอกว่าฉันเป็นแบบนี้ ไม่รู้แหละ ในวัยที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทุกอย่างในชีวิตที่ตัดสินใจว่าจะคุยพ่อคุณแม่ไหม มันต้องผ่านการถามตัวเองว่าจำเป็นต้องคุยไหม เรื่องนี้พูดไปแล้วจะช่วยอะไรในความสัมพันธ์หรือเปล่า เพราะว่าเราไม่ได้คุยกันทุกเรื่องและมันไม่เป็นไร เราควรคุยกันเฉพาะเรื่องที่เราทั้งคู่อยากคุย ไม่ใช่แค่เราอยากจะยัดเยียดคุยอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นมิ้นไม่เคยเดินเข้าไปแล้วบอกว่า ‘แม่ พ่อ มิ้นคบผู้หญิงนะ’ นั่นไม่ใช่วิถีบ้านเรา มันละครเกิน

“คิดในใจว่าเดี๋ยวเขาก็เห็นตามข่าวเองแหละ และรู้อยู่แล้วว่าคุณพ่อคุณแม่จะคุยกับพี่สาวก่อนถ้าเขาอยากรู้ เราไม่ต้องพูดด้วยซ้ำ มิ้นมีโครงสร้างครอบครัวที่สามารถกระจายไปคุยกับพี่สาวได้ ส่วนที่เหลือมิ้นไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ เพราะมิ้นมองว่าเราทำตัวเป็นประตูที่เปิดกว้าง อยากถามอะไร มิ้นพร้อมตอบ ถ้าไม่ถาม มิ้นจะไม่ยัดเยียด จะไม่เข้าไปบอกว่า ‘ต้องเข้าใจหนูนะ ยอมรับหนูได้หรือเปล่า’ ถ้าทุกวันนี้มิ้นกลับบ้านไปแล้วแม่ทำกับข้าวให้กิน แสดงว่าเขายอมรับเราแล้ว ถ้าเขาไม่เข้าใจว่า ​LGBTQ+ คืออะไร ทำไมต้องคบผู้หญิง ถ้าเขาคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่ ทำกับข้าวให้กินได้ป่าว ทำได้ โอเคจบ ไม่มีปัญหา ไม่ยอมรับก็ได้ (หัวเราะ)”

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากความรักที่ ใช่

“เรามีความแตกต่างกันเยอะมาก แต่พอเห็นข้อแตกต่างหลายๆ ครั้งยังรู้สึกว่า โห เราก็เหมือนกันเยอะมากจริงๆ เราทะเลาะกันเยอะมาก แต่เวลาหวานเราหวานสุดมาก หวานกว่าที่ออกสื่อ พอเป็นโมเมนต์ขม เราไม่มีเหตุผลต้องไปโพสต์ออกสื่อให้มันดราม่าหรือเกิดความเข้าใจผิดต่อตัวเราหรือตัวเขา เพราะไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจมันเท่ากับเราสองคน ขนาดเราสองคนยังไม่เข้าใจกันเล้ย (หัวเราะ) มิ้นว่าเป็นปกติของคนที่เกิดมาใช้ชีวิตมาคนละแบบ ในทุกรายละเอียดมันมีสิ่งที่เราต้องปรับตัวเสมอ

“ตัวตนที่แท้จริงของเขาทำให้มิ้นรู้สึกว่ามันผลักให้ตัวมิ้นสื่อสารมากขึ้นในความสัมพันธ์เชิงลึก ถ้าเป็นมาตรฐานในความสัมพันธ์ที่เราถูกสอนกันก็คือผู้ชายที่มารักเรา เขาต้องทรีตเราอย่างนี้นะ มิ้นเลยรู้ว่าหลายครั้งการทะเลาะกันของเรา ถ้าเป็นอย่างที่เคยถูกสอนมา มิ้นเลิกไปแล้ว แบบนี้ไม่เอา แต่ว่าในความสัมพันธ์นี้ ตัวตนของซิลผลักให้มิ้นแสดงความคิดเห็นมากขึ้นไปอีก จากการตั้งกำแพงแล้วบอกเลิก ไม่เอาแล้ว มันกลายเป็นต้องอยู่ แล้วก็ทะเลาะกันไป และพูดสิ่งที่ฉันคิด จนยืนยันได้ว่าสิ่งที่คิดคืออะไร ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เป็นข้อด้อยของมิ้นมาตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์กับแฟน แต่กับการใช้ชีวิตปกติด้วย เราไม่พร้อมจะชนต่อและยืนยันสิ่งที่เราเชื่อว่าไม่ได้คิดผิด หรือยืนยันว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะอะไร

“เขาเป็นคนที่ไม่คิดเยอะ เป็นคนด้านเดียวจริงๆ โกรธคือโกรธ รักคือรัก เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่ามีคนที่แม้แต่วันที่มันโกรธเรา มันยังรักเราเลย เราเห็นถึงความรักอะ อย่างรอบนี้ไปญี่ปุ่นก็ทะเลาะกัน ก็เห็นได้ว่ารักแหละ รักด้วยหน้ามุ่ยๆ แบบนี้ ตัวตนที่เป็นคนไม่เฟค ไม่พยายามปั้นหน้า มันช่วยให้คนที่มีปัญหา trust issues อย่างเราเชื่อว่าถึงแม้จะรู้สึกว่าทำไมต้องดุจังวะ หรือทำไมต้องพูดแรงด้วยวะ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“มิ้นรู้สึกว่ามันคงเป็นตัวผลักที่ทำให้เราบาลานซ์ตัวตนของกันและกัน ตัวตนที่มีทั้งข้อดีข้อเสียในแบบของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเวลามีแฟน สิ่งที่จะเป็นมายด์เซ็ตในหัวของมิ้นก็คือ มากกว่าเรียนรู้เขา ความสัมพันธ์นี้ต้องทำให้เราเรียนรู้ตัวเองว่าเราชอบอะไรกันแน่ เราเป็นใครกันแน่ ณ วันนี้เรา evolve ตัวเองไปเป็นแบบไหนแล้วกันแน่ เพื่อให้เราเติบโตและเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าโลกใบนี้เราอยากใช้ชีวิตยังไง นี่คือสิ่งสำคัญที่มิ้นตั้งเป้าเวลามีความรัก ไม่ใช่แค่ฉันจะต้องรู้จักเธอให้ดีที่สุด นอกจากรู้จักเธอ ฉันต้องรู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย เพื่อตอบได้ว่าระยะยาวฉันอยู่กับเธอได้หรือเปล่า ฉันโอเคจริงๆ ไหม มันไม่ใช่แค่เธออยู่กับฉันได้หรือเปล่า ฉันอยู่กับเธอได้หรือเปล่า มันไม่ใช่แค่เธอรักฉันได้หรือเปล่า ฉันรักเธอได้หรือเปล่า พร้อมจะเสียสละและใช้ชีวิตด้วยความรักแบบที่ฉันอยากจะมีและฉันศรัทธาได้จริงๆ หรือเปล่า มิ้นเลยคิดว่าตัวตนที่เป็นอยู่ตอนนี้มันบีบกันนะ ความสัมพันธ์นี้ไม่ง่าย สำหรับซิลเหนื่อยทุกอย่าง ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเกือบสามปี มิ้นก็เหมือนกัน มันเหนื่อย มันยาก แต่เพราะไม่ใช่คอมฟอร์ตโซนไง ถ้าเป็นคอมฟอร์ตโซนเราจะไม่ได้คบกัน แต่วันนี้เราเลือกที่จะคบกันเพราะเรารู้ว่ามันไม่ได้ง่าย แล้วมันไม่ง่ายจริงๆ แต่เราภูมิใจกับมันมาก และภูมิใจในตัวตนของตัวเองที่เติบโตจากความสัมพันธ์นี้”

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Other Articles