Words : LILYNN LANLALYN
Artwork: Wasin Pooksombat
เพราะน้ำหอมแต่ละขวดล้วนมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เป็นกลิ่นที่สร้างจินตนาการได้เหมือนเสียงเพลง มีส่วนที่จับต้องได้เหมือนภาพวาด มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมานับพันปี โดยมีหลักฐานว่าน้ำหอมรุ่นแรกๆ มีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ และก่อนที่น้ำหอมจะเป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมแฟชั่น น้ำหอมเคยถูกใช้เพื่อแยกชนชั้นในหลายวัฒนธรรม และมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าถึงได้ เนื่องจากมีราคาแพงและหาซื้อได้ยาก
สำหรับคำว่า น้ำหอม มาจากภาษาละติน ‘per’ หมายถึง ทั่วถึง และ ‘fumus’ หมายถึง ควัน ซึ่งให้กลิ่นหลังเกิดการเผาไหม้จากเครื่องหอม น้ำหอมในยุคแรกจึงเป็น ‘เครื่องหอม’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยชาวเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณสี่พันปีที่แล้ว วัฒนธรรมโบราณได้เผาเรซิ่นและไม้หลายชนิดในพิธีทางศาสนา จนเมื่อธูปหรือเครื่องหอมมาถึงอียิปต์ราวๆ สามพันปีก่อนคริสตกาล หลายปีต่อมาเส้นทางความหอมยังคงเดินทางผ่านหลายกลุ่มคน หลากเชื้อชาติ วัฒนธรรม มีวิวัฒนาการที่ผสมผสานและการคัดสรรวัตถุดิบ รังสรรค์กลิ่นให้แตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ รวมไปถึงเทคโนโลยีสร้างกลิ่นหอมที่ได้รับการพัฒนาตามยุคสมัย เพื่อช่วยให้ความหอมคงทนยิ่งขึ้น
และด้วยการมาถึงของ Eau de Cologne ในศตวรรษที่ 18 อุตสาหกรรมน้ำหอมเติบโตอีกครั้ง น้ำหอมถูกนำไปผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรม ทำให้ผู้คนได้ค้นพบความโรแมนติกจากน้ำหอม และเริ่มใช้เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้ชวนหลงใหล จนถึงศตวรรษที่ 20 เหล่าดีไซเนอร์จากแบรนด์แฟชั่นต่างๆ เริ่มทำการตลาดด้วยกลิ่นตามเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมไปถึงคนดังมากมายก็เริ่มสร้างแบรนด์จากไลฟ์สไตล์ และขายน้ำหอมด้วยการตั้งชื่อของตัวเอง
ทุกวันนี้น้ำหอมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่เฉพาะกับชนชั้นสูงเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ยังสามารถเข้าถึงผู้คนส่วนใหญ่ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างดี และนี่คือเทรนด์น้ำหอมของปีนี้ที่กำลังถูกจับตามองในอุตสาหกรรมความหอมทั่วโลก
Creative Self Expression
การสร้างกลิ่นหอมสำหรับผิวกายได้ข้ามผ่านจากการเป็นน้ำหอมที่ให้ความสวยงาม หรูหรา เป็นเครื่องบอกเล่าตัวตน อารมณ์ และรสนิยมที่เฉพาะเจาะจง ไม่ต่างจากการเลือกเสื้อผ้าในแต่ละโอกาส ทำให้การรังสรรค์กลิ่นในปี 2023 นี้มีความแปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น ยึดติดกับกรอบการทำงานและโครงสร้างแบบเดิมน้อยลง เพื่อตอบรับการเลือกสรรกลิ่นหอมประจำกายของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
Sustainability
นอกเหนือจากความคิดสร้างสรรค์ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับกลิ่นแล้ว การคำนึงถึงความยั่งยืนของชุมชนและสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการเลือกใช้วัตถุดิบต่างๆ การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อสร้างกลิ่นที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัยจะต้องควบคู่ไปกับการเลือกที่มาของวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว รวมถึงขั้นตอนการผลิตและการขนส่งจะต้องคำนึงถึงการลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์กลับเข้าสู่บรรยากาศเช่นกัน
Innovation
การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความคงทน การใช้กลิ่นเข้าไปแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันให้กับผู้บริโภค ไปจนถึงการสร้างกลิ่นที่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ จะถูกนำมาใช้ในการสร้างสินค้าใหม่เพื่อให้ตัวสินค้าสามารถยืนหยัดในตลาดได้ในระยะยาว และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
All Senses
การสร้างกลิ่นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จะถูกเชื่อมโยงแนวคิดเข้ากับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสอื่นๆ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส และรสชาติ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับอารมณ์ความรู้สึกที่ทางแบรนด์ต้องการสื่อสารได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตลาดสินค้าลักชัวรี่ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มประสบการณ์ของลูกค้าในทุกมิติ จะยิ่งใส่ใจในการเชื่อมโยงกลิ่นเข้ากับการเติมเต็มเรื่องราวในกิจกรรมสำคัญ เนื่องจากปัจจัยในการเติบโตของยอดขายสัมพันธ์โดยตรงกับความพึงพอใจและความรู้สึกได้รับการเอาใจใส่ของลูกค้า
สำหรับแนวกลิ่นที่มาแรงในปีนี้ เราได้รวบรวมมาเป็นแนวทางคร่าวๆ เพื่อให้สาวๆ ได้เปิดประสบการณ์ความหอมแบบใหม่ที่ทั้งทันสมัยและชวนให้หลงใหลในขณะเดียวกัน
Gourmand Vanilla
สำหรับวงการความหอม โทนกลิ่นแบบขนมของกลิ่นวานิลลาได้รับความนิยมเสมอมา และยังต่อยอดให้เกิดกลิ่นต่างๆ ในแนวนี้ออกมาอีกมากมาย โดยเฉพาะกลิ่นแบบ Gourmand ซึ่งเป็นลักษณะของกลิ่นที่ได้แนวความคิดมาจากกลิ่นของขนมหวานต่างๆ โดยลักษณะของกลิ่นหอมหวานมีอยู่หลายกลิ่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นวานิลลา ช็อกโกแล็ต น้ำผึ้ง น้ำนม หรืออาจเป็นกลิ่นของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ
Intense Floral
ไม่ใช่แนวกลิ่นฟลอรัลธรรมดา หากแต่เป็นแนวกลิ่นฟลอรัลในเวอร์ชั่นเข้มข้น โดยปรับปรุงและพัฒนากลิ่นให้สมบูรณ์แบบและแปลกใหม่ยิ่งขึ้น คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และกลิ่นหลักของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ ในขณะเดียวกันก็ลดทอนส่วนประกอบหรือวัตถุดิบบางตัวออกไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเพิ่มแนวกลิ่นวู้ดดี้ หรือโอเรียนทัล เข้ามาผสมผสานกับแนวกลิ่นฟลอรัลดั้งเดิม เพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่น นุ่มนวล สุขุม รวมทั้งความหอมหวาน เซ็กซี่ เผ็ดร้อน และหรูหราให้ชัดเจนขึ้นเช่นกัน
Fresh and Green
กลิ่นน้ำหอมประเภทนี้จะคล้ายกับโทนกลิ่นฟลอรัล แต่จะให้กลิ่นที่สดชื่นกว่า โดยมีการผสมผสานกลิ่นของสมุนไพรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟิร์น มอส หญ้าแฝก ชาเขียว กลิ่นหอมของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ หรือแม้แต่ใบไม้ก็สามารถนำมารังสรรค์ให้เกิดกลิ่นหอมที่มีมิติยิ่งขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีบุคลิกปราดเปรียว กระตือรือร้น ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ สะท้อนคาแร็กเตอร์หนุ่มสาวยุคใหม่ที่ทันสมัยได้อย่างมีชั้นเชิง
Elevated Clean
ในยุคที่ทุกคนให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมต่างๆ ไปจนถึงการเลือกใช้สินค้าที่ไม่ทำลายธรรมชาติ เทรนด์ความงามแบบ Clean Beauty ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว ยังลดการสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เช่นเดียวกับเทรนด์การรังสรรค์น้ำหอมที่เลือกใช้ส่วนผสมจากวัตถุดิบที่มาจากฟาร์ม หรือจากพื้นที่การเกษตรโดยตรง คัดสรรส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน เน้นการสร้างสรรค์กลิ่นที่เรียบง่าย ชัดเจน ที่สำคัญคือปราศจากสารเคมีต่างๆ ใครที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายรับรองว่าใช้ได้แบบสบายใจ
Layering Oil and Mist
เลเยอร์ความหอมในแบบที่เป็นคุณ ด้วยการผสมผสานน้ำหอมและน้ำมันบำรุงผิวเข้าด้วยกัน เพื่อให้น้ำหอมกลิ่นโปรดเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนมากขึ้น สำหรับมือใหม่แนะนำให้เลเยอร์กลิ่นหอมในตระกูลเดียวกัน โดยเลเยอร์กลิ่นน้ำหอมที่เข้มข้นเป็นชั้นแรก เริ่มจากบอดี้ออยล์เพื่อเตรียมผิวให้ชุ่มชื้น รอสักพักให้กลิ่นหอมเซ็ตตัว จากนั้นค่อยพร่างพรมละอองความหอมกลิ่นบางเบา เพื่อไม่ให้กลิ่นหนักกว่าไปกลบน้ำหอมที่มีแนวกลิ่นเบานั่นเอง