เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของศิลปินสุดติสต์ DAGNY จากซิงเกิ้ล “Love You Like That” มาบ้างแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก DAGNY เป็นนักร้องป๊อปชาวนอร์เวย์ที่ประสบความสำเร็จกับซิงเกิ้ลเปิดตัวของเธอ “Backbeat” เธอเป็น นักร้องและนักแต่งเพลงเพลงป๊อปที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปด้วยการปรากฏตัวใน “Drink About” ของ SeeB (2018) และได้รับเครดิตในการแต่งเพลง “Never really Over” (2019) ของ Katy Perry ซึ่งติดชาร์ตเพลง U.S. Top 20 ก่อนที่จะพบกับชื่อเสียงในวงกว้างด้วยดนตรีของเธอเอง
ด้วยเสียงที่กระจ่างใสและนุ่มนวลของเธอ DAGNY ได้บรรยายดนตรีของเธอว่าเป็น “รถไฟเหาะตีลังกาทางอารมณ์” ที่ทำให้คนฟังต่างพบกับความสนุกสนานและความเศร้าโศกไปพร้อมๆ กัน “เช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์” เธอกล่าว ดนตรีของเธอนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีโฟล์คกับป็อปสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความมืดหม่นไปจนความสดใสอันสว่าง มารู้จักกับ DAGNY มากขึ้นในบทสัมภาษณ์สุดเอ็กส์คลูซีฟของเธอกับ L’Officiel Thailand ได้ที่นี้เลย!
เรื่องราวเบื้องหลังของเพลง “Highs and Lows” คืออะไร?
“Highs and Lows” เป็นหนึ่งในเพลงบัลลาด (Ballad) จริงๆ จังๆ ของฉัน ซึ่งฉันแทบไม่ค่อยได้ทำเพลงแนวบัลลาด (Ballad) เลย มันจึงเป็นอะไรที่ใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับฉันมากๆ ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ที่เราเลือกยืนเคียงข้างใครสักคน ไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาที่ดีเท่านั้นแต่ยังรวมถึงช่วงเวลาที่แย่ด้วยเพราะในทุกความสัมพันธ์มักจะมีขึ้นและลงเสมอ สำหรับเพลงนี้ ฉันอยากจะบอกกับทุกคนว่า,
“I’m always here for you no matter what“
ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ก่อนหน้าที่จะปล่อยเพลง “Highs and Lows” ฉันได้เปิดเพลงนี้ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ รอบตัวฟัง ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากเพราะว่าหลายคนนำเพลงนี้ไปตีความกับความสัมพันธ์หลายแบบมาก ไม่ใช่แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่โรแมนติก แต่รวมไปถึง มิตรภาพ และครอบครัว ทุกความสัมพันธ์ต้องใช้เวลา ดังนั้นข้อความของเพลงนี้ก็คือ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะอยู่ที่นี่นะ”
ตอนนี้คุณชอบเพลงไหนของตัวเองมากที่สุดและเพราะเหตุใด?
โห เป็นคำถามที่ยากมาก (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว มันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บางครั้งฉันชอบเพลงหนึ่งเป็นพิเศษเพราะเพิ่งร้องสดมาแล้วมันมันส์มาก แต่บางครั้งฉันก็จะชอบเพลงตามความรู้สึกของฉันในช่วงเวลานั้น โดยรวมแล้วฉันคิดว่า “Love You Like That” น่าจะเป็นอะไรที่พิเศษที่สุดสำหรับฉัน เพราะฉันยังรู้สึกเหมือนราวกับว่าเพิ่งเขียนเพลงนี้ไปเมื่อวานทั้งๆ ที่มันนานมามากแล้ว ทุกครั้งที่ฉันฟัง “Love You Like That” มันก็ยังรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ซิงเกิ้ลแรกของฉัน “Backbeat” ก็เป็นเพลงที่ฟังทีไรก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเก่าเลย ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้ว 7 ปี
คุณชอบดนตรีมาตลอดเลยไหม? คิดที่จะเข้าวงการนี้ตั้งแต่แรกเลยไหม?
ไม่เลย! (หัวเราะ) ฉันโตมาในครอบครัวนักดนตรี ทุกคนเลยอาจจะคิดว่าโดยธรรมชาติแล้วฉันคงอยากเข้าวงการนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ไม่เลยจริงๆ (หัวเราะ) มันดันตรงกันข้าม เพราะพออยู่กับดนตรีตลอดเวลาฉันจึงฝันถึงสิ่งอื่นๆ เช่น นักโบราณคดี นักบินอวกาศ นักบอล และนักเต้นรำ ซึ่งพอมองย้อนกลับไปเป็นอะไรที่ตลกมากเพราะตอนนี้ฉันคงไม่มีวันเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นจริงๆ เพราะฉันรักในสิ่งที่ทำมาก แต่ใช่ ฉันเพิ่งมาอินกับการแต่งเพลงเมื่อช่วงวัยรุ่นตอนกลางนี้เอง ดังนั้นสามารภพูดได้ว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนานมากสำหรับฉัน กว่าจะมาถึง DAGNY ในปัจจุบันแบบนี้
อนาคตของวง DAGNY มีแพลนไว้อย่างไรบ้าง?
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาพวกเราได้ออกทัวร์กันเยอะมาก เพิ่งได้เริ่มกลับไปสตูดิโอและเขียนเพลงเอง ดังนั้นแผนคือการทำอัลบั้มใหม่สำหรับปีหน้า แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอยู่นะ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อปล่อยอัลบั้มแล้วพวกเราจะกลับไปทัวร์อีกแน่นอน! ฉันไม่ได้ไปเอเชียมาหลายปีแล้ว และฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเล่นที่อเมริกาใต้ด้วย แน่นอนว่านั่นคือแผนต่อไปของ DAGNY อย่างแน่นอน
คุณคิดว่าเพลงของคุณอยู่ในหมวดไหนของดนตรี (Genre)?
ตอบยากมากเลย สมัยนี้ยังมีหมวดสำหรับดนตรีอยู่หรอ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องจัดหมวดหมู่ฉันคิดว่าเพลงของฉันคงตกอยู่ภายใต้แนวแสกนดิป็อป (Scandinavian Pop) ปนกับแนวอินดี้ (Indie) เล็กน้อยเพราะว่าฉันชอบดนตรีอินดี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นฉันคิดว่ามันน่าจะมีอิทธิพลต่อดนตรีของฉัน ไม่มากก็น้อย ฉันคิดว่าเพลงของฉันน่าจะตกอยู่ในที่ไหนสักแห่งแนวๆ นี้แหละ
อะไรทำให้คุณไม่เหมือนใคร?
เป็นคำถามที่ดีมากเลยเพราะทุกวันนี้ผู้คนมักพูดถึงจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง คนจำเป็นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจึงจะโดดเด่น สำหรับฉัน ฉันไม่ได้พยายามที่จะโดดเด่นและไม่ได้ต้องการให้ทุกคนต้องมาเห็นฉันตลอดเวลา อาจฟังดูเหมือนคนแก่ด้วยการพูดแบบนี้ แต่ฉันหวังว่า ‘เสียง’ ของฉันเนี่ยแหละที่ทำให้ฉันแตกต่าง ฉันไม่ได้ทำอะไรแหวกแนวในเพลงของฉันและฉันไม่ได้แต่งตัวในแบบที่ทำให้ฉันแตกต่าง แต่ฉันคิดว่าเสียงของฉันไม่เหมือนคนอื่น ดังนั้นฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันไม่เหมือนใคร ทำได้โดดเด่น คุณสามารถดัง เงียบ หรือสุดโต่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสุขกับตัวเองและสิ่งที่คุณกำลังทำ
ในปัจจุบันการร่วมงานกัน (Collaboration) เป็นอะไรที่กำลังมาก ถ้าคุณสามารถเลือกได้ คุณอยากจะร่วมงานกับใคร?
มีผู้คนมากมายที่ฉันอยากร่วมงานด้วยด้วยเหตุผลมากมาย ตอนนี้ฉันกำลังติด บอน – อีแวร์ (Bon Iver) มาก ฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบรรยากาศๆ หนึ่ง เมื่อได้ฟังเพลงของเขา แต่หนึ่งในศิลปินที่ฉันอยากจะร่วมงานด้วยมากๆ คือ เทย์เลอร์ – สวิฟต์ (Taylor Swift) เพราะเธอเจ๋งมากในการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาในทุกอัลบั้มของเธอโดยที่ตัวตนของเธอไม่เคยหายไปไหน ฉันเคารพเธอมาก มันคงจะเจ๋งมากถ้าได้ร่วมงานกับคนอย่างเธอ
คุณเห็นตัวเองเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า?
ฉันแทบไม่คิดเลยว่าอีก 10 ปีจากนี้หรือ 5 ปีนับจากนี้จะเป็นอย่างไร ฉันจำได้ว่าทุกคนมักพูดเสมอมาว่า “เธอต้องมีแผน 3 ปี เธอต้องมีแผน 5 ปี” แต่บอกตามตรงฉันรู้สึกว่ามันทำให้เราไล่ตามบางสิ่งที่เป็นอนาคตอยู่ตลอดเวลา มันเหนื่อยนะ ฉันรู้ดีว่าการเป็นนักวางแผนที่ดีย่อมมีข้อดีอยู่เยอะมากๆ ซึ่งฉันเป็นนักวางแผนที่แย่มาก แต่สำหรับฉันบางครั้งในวงการดนตรี ศิลปินเกือบทุกคนมักจะตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง แล้วพอเราถึงเป้าหมายนั้น เราก็มุ่งไปที่เป้าหมายต่อไปแล้ว ทำให้สุดท้ายแล้วคุณกลับลืมสนุกกับช่วงเวลาในปัจจุบัน ดังนั้นสำหรับฉัน ฉันแค่สนุกกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้และอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ไว้ฉันจะจัดการกับผน 10 ปีเมื่อมันมาถึง (หัวเราะ) ฉันหวังแค่ว่าเมื่อเวลามาถึงฉันจะยังสร้างดนตรีให้แก่ผู้คนและพัฒนาตัวเองต่อไป
มีคำแนะนำสำหรับคนรักดนตรีที่กำลังเริ่มต้นไหม ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ?
อย่าหยุด! หลายๆ คนคิดว่ามันมี Deadline สำหรับการประสบความสำเร็จ แต่จริงๆ แล้วไม่เลย จงยึดกับสิ่งที่คุณทำแล้วคุณรักแม้ว่าตอนนี้มันอาจยังไม่เป็นไปด้วยดี ตราบใดที่คุณยังคงเติบโตไปทุกวัน จงเรียนรู้และพัฒนาสิ่งที่คุณหลงใหลอยู่เสมอ
“Write a hundred songs until you find the special one“
จงเขียนร้อยเพลงจนคุณเจอหนึ่งเพลงที่ทำให้คุณรู้สึกพิเศษจริงๆ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด จงเชื่อในความกล้าของตัวเองเพราะว่ามันง่ายมากที่จะมองดูคนอื่นและคิดว่า “โอ้ ฉันต้องทำสิ่งนี้และสิ่งนั้นเหมือนพวกเขา” แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาตัวเองให้มากพอที่จะเชื่อมั่นในตัวเองและสิ่งที่คุณกำลังทำ เชื่อฉันและไม่แน่คุณอาจโดดเด่นมากกว่าคนอื่นๆ เพราะว่าคุณไม่ได้ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำ ทำในสิ่งที่รู้สึกว่าใช่สำหรับคุณและเชื่อมันเข้าไว้ แม้ว่าคนอื่นจะบอกให้หยุดและทำอย่างอื่น