MINYMYNX (มินนี่มิงซ์) หรือ มิน–เพชรชมพู พันธิสุนทร ศิลปินน้องใหม่วัย 20 จากค่าย NEW WAV. Entertainment มินเป็นสาวน้อยที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งร้อง เต้น แร็ป…แน่ล่ะ! เธอแต่งเพลงได้ หลังปล่อย ‘Lies’ ซิงเกิลแรกเมื่อเดือนที่แล้ว จนทำให้หลายคนชื่นชมในตัวเธอ ระหว่างที่มินกำลังจะเริ่มลุยซิงเกิลที่สอง เราได้พูดคุยกับสาวคนนี้ในยามบ่ายของวันที่ท้องฟ้ายังต้องพ่ายแพ้ให้กับความสดใสของเธอ
อะไรทำให้มินอยากเป็นนักร้อง
มินชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก เปิดคอนเสิร์ตในห้องน้ำทุกวัน ครอบครัวเราชอบร้องเพลงทุกคน ทั้งคุณพ่อ อากง อาม่า มินมีฝาแฝดด้วย แฝดพี่ก็ชอบร้องเหมือนกัน ตอนอยู่อังกฤษมินชอบร้องแต่ไม่เคยแร็ป พอกลับมาก็อยากเป็นศิลปิน เลยไปสมัครเรียนพวก artist program ช่วงนั้นฮิปฮอปบูม เพื่อนๆ ก็ชอบแร็ป เขามาถามว่าลองไหม มินเลยได้ลองแต่งและเริ่มแร็ปตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ชอบค่ะ
การแร็ปสามารถ express ความรู้สึกของเราได้เต็มที่ โดยไม่ต้องแคร์อะไรมาก มันเป็นความรู้สึกที่มาจากใจ ส่วนแร็ปที่แต่งไปแข่งในรายการก็จะเป็นอารมณ์นึง แต่แร็ปที่อยู่ในเพลงก็เป็นอีกอารมณ์นึง ในตัวเราอาจจะมีหลายคาแร็กเตอร์ที่ไม่ได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน เวลาแร็ปมันจะถ่ายทอดความรู้สึกของเราได้
แล้วเป็นมาอย่างไรถึงได้ออกซิงเกิล
เพื่อนมาชวนว่าไปแข่งแร็ปด้วยกันไหม (รายการ Show Me The Money Thailand Season 2) เขาอยากให้มินไปเป็นเพื่อนด้วย เราก็ไป แล้วดันติด เลยได้เจอพี่นีโน่ เขาชวนมาเข้าค่าย แต่ว่ากว่าจะได้ปล่อยเพลงก็น่าจะประมาณสองปีกว่า เพราะตอนแรกมินแต่งออกมาเป็นแนวแร็ปโหดไปหน่อย ถ้าฟังจะเป็นคนละแนวกับอันนี้เลย พี่ๆ บอกว่ายังไม่ใช่คาแร็กเตอร์เรา เลย develop ไปเรื่อยๆ มีพี่เบนกับพี่ปั้นวง Luss มาช่วยเกลาเนื้อให้เพราะขึ้น พอทำเพลงเสร็จก็จะฝึกเต้น ฝึกร้อง สร้างลุคของเรา ตรงนั้นแหละค่ะที่ใช้เวลานาน แล้วก็เจอช่วงโควิดด้วย เลยใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้ปล่อยออกมา ที่เป็นภาษาอังกฤษเพราะอยากให้คนไทยฟังได้ ต่างชาติฟังได้ เลยทำเป็นภาษากลางไว้ แต่เราก็มีแพลนว่าจะทำทั้งเพลงไทยและเพลงสากล
ตอนนี้เป็นศิลปินแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม เรากดดันตัวเองบ้างหรือเปล่า
ไม่ได้กดดันตัวเองเลยค่ะเพราะว่าพี่ๆ ที่ค่ายไม่เคยทำให้เรารู้สึกอึดอัดเลย ก็คือเอาที่เราสบายใจที่สุด ไม่งั้นมันจะออกมาไม่ดี ทุกคนค่อนข้างให้เราเป็นตัวเองที่สุด แต่ว่ามีเหนื่อยไหม…มี ตอนซ้อมเต้นจะเหนื่อยมาก แต่ว่าในความเหนื่อยมีความสนุก มินไม่เคยทรมานเลยเวลาไปเรียนเต้น ไม่ว่าจะนอนน้อย หรือต้องไปเรียนต่อ ก็คือมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ
การเป็นศิลปินต้องมีความอดทน นอกจากเรื่องความเหนื่อยแล้ว มินว่าต้องรับกับความผิดหวังให้ได้ เพราะว่าบางครั้งมันอาจจะไม่ได้บูมเลยทันที หรือว่าบางทีเราเห็นคนที่มาพร้อมๆ กับเรา แต่อาจจะพุ่งแซงหน้าไปก่อน เราอาจจะมีน้อยใจบ้าง แต่มินคิดว่าถ้ามีคนชอบ เราก็โอเคแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อย
เรื่อง keep fit and healthy ก็ยากเพราะว่าก่อนถ่ายเอ็มวีคือไม่ฟิตเลย ต้องลดน้ำหนักเยอะ ตอนนี้ก็ยังต้องลดอยู่ คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความอ้วน แต่เกี่ยวกับความฟิตที่เราต้องมี เพราะมันจะเหนื่อยง่ายถ้าเราไม่ฟิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราด้วย เราอยากได้บอดี้แบบนี้ มันเป็นโกลของเรา แต่ว่าอย่ากดดันตัวเอง เพราะยิ่งกดดันยิ่งทำไม่ได้
มินชอบไปทำงานเพราะที่ค่ายเป็นเหมือนครอบครัว ถ้ามีอะไรก็จะปรึกษา มีปัญหาก็จะบอก ค่ายเปิดโอกาสให้เราลองผิดลองถูก ถึงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องอยู่ในคอมฟอร์ตโซนตลอดเวลา มินเลยได้ร้องเพลงหลายแนวมากจนเจอคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของตัวเอง แต่ก่อนมินเป็นคนไม่พูดเลย แต่ตอนนี้แย่งพูดอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) เหมือนเขา break the ice เรา พี่ๆ จะบอกว่าถ้าเราเงียบอย่างเดียว คนไม่รู้นะว่าเรารู้สึกยังไง เราต้องสื่อสารให้เป็น มินรู้สึกว่าตัวเองเข้าสังคมได้ดีมากๆ เลยตั้งแต่อยู่ค่าย ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษประมาณอายุ 15-16 มินไม่มีเพื่อนเลยเพราะเรียนแบบโฮมสคูล ไม่กล้าเข้าโรงเรียนด้วยเพราะไม่อยากเจอเพื่อน พอเข้ามหา’ลัยปี 1 ก็ไม่มีเพื่อน เหมือนเขาคิดว่าเราหยิ่ง เพราะเราไม่คุยกับใคร แต่ว่าพออยู่ค่ายเหมือนเขากระตุ้นให้เรารู้จักการเข้าสังคม ทำให้ตอนนี้ (มินเรียนปี 3 BAS TU) เรามีเพื่อนที่น่ารักมากๆ อยู่กับเพื่อนคือจะไม่หยุดพูดเลย เรากับเพื่อนจะแย่งกันพูด คอแห้งตลอดเวลาที่เจอเพื่อน
สกิลที่คิดว่าตัวเองโดดเด่น
การแร็ปค่ะ คิดว่าตัวเองค่อนข้างเพอร์ฟอร์มออกมาได้ดีที่สุดตอนนี้ สามารถแต่งเองให้เนี้ยบได้พอสมควร
อาจจะมีอีกก็ได้นะ แต่เรายังหาไม่เจอ
มินอาจจะชอบตีลังกาก็ได้ (หัวเราะ)
ตอนนี้มีอะไรที่ท้าทายเราบ้าง
ถ้าชาเลนจ์เกี่ยวกับเพลงก็คือ อยากให้เพลงเรามีคนชอบมากขึ้น หรือว่าเพลงเราพัฒนาขึ้นไปอีกเลเวลนึง เพราะเพลงมีหลายเลเวล เช่น เพลงฟังง่าย เพลงใช้สกิลเยอะ เพลงแต่งยาก เพลงแร็ปยาก ก็อยากทำให้ได้หลากหลาย ส่วนถ้าเรื่องอื่นตอนนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องเรียน เพราะว่าเรียนหนักมาก ต้องเขียน essay ทุกวิชา อีกอย่างก็คือแมเนจเวลา แล้วก็นอนให้ตรงเวลาด้วย คืออยากให้ตัวเองพักผ่อนมากขึ้น เหมือนมีเวลาว่างก็ไม่พัก
แพลนต่อไปล่ะคะ
จริงๆ มีเพลงในสต็อกเยอะมาก แต่พี่นีโน่กับพี่เบนอยากให้แต่งใหม่เลย ตอนนี้กำลังทำอยู่ค่ะ จะเป็นแนวฮิปฮอปมากขึ้น เพราะมีคน DM มาบอกว่าอยากฟังเราแร็ปเยอะขึ้น อยากฟังสกิลเรา น่าจะประมาณปลายปีค่ะที่จะได้เห็นผลงาน
ได้สัญญาอะไรไว้กับตัวเองบ้างไหม
คุณแม่ชอบพูดว่าทำทุกวันให้ดีที่สุด เหมือนเราต้องมีพื้นที่ของเรา เราต้องแคร์เรื่องอะไร และไม่แคร์เรื่องอะไร เราแคร์ทุกอย่างในโลกไม่ได้ คือแต่ก่อนมินแคร์ทุกเรื่อง แคร์ทุกคน แต่บางครั้งเราก็ต้องลิมิตว่าอะไรคือเรื่องสำคัญที่เราควรจะซีเรียส เรื่องอะไรควรปล่อยวาง ก็คือทำทุกวันให้ดีที่สุด ลิมิตกับตัวเองว่าอะไรดี อะไรควร อะไรไม่ต้องสน
เป้าหมายในการเป็นศิลปิน
ทุกคนมีโกลของตัวเองไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก โกลของมินคือปล่อยเพลงไปเรื่อยๆ มีเพลงใหม่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับพัฒนาให้มันดีขึ้น แล้วก็อยากให้คนฟังชอบ เรื่องที่คอนเซิร์นที่สุดคือตัวเองต้องชอบ แล้วก็อยากให้คนฟังชอบด้วย เพราะเราแต่งเพลงเพื่ออยากให้ทุกคนฟัง แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ของตัวเองนี่แหละค่ะ คือมินชอบอ่านดราม่าในพันธ์ทิพย์ แล้วถ้ารู้สึกอินมากๆ ก็จะเอาไปแต่งเป็นเพลง บางครั้งมาจากประสบการณ์ของเพื่อนที่มาบ่นให้เราฟังบ่อยๆ จนอินกับเรื่องของเขาไปด้วย แนวที่จะแต่งส่วนมากเป็นเรื่องความรัก แต่มีแนวอื่นด้วย คือมีหลายมู้ด ถ้าเราเศร้าอยู่ก็จะแต่งแนวอกหัก แต่ถ้าเรามู้ดแบบ hype ก็จะแต่งแบบ flex อาจจะไม่ได้ flex แบบสิ่งของ มินจะชอบแต่งเพลงตอนคาร์ดิโอ เวลาเดินบนลู่วิ่งมันลื่นไหลมากก็จะแต่งเก็บไว้ บางทีพี่ๆ ที่ค่ายจะส่งบีตมาแล้วให้ลองแต่ง
ถ้าเป้าหมายระยะยาวก็คืออยากไปเล่นคอนเสิร์ต อยากให้เพลงบูมบนติ๊กต่อกมากเลย มีคนเต้นเพลงเรา แล้วก็อยากให้เราทำสิ่งนี้ไปได้เรื่อยๆ ไม่อยากให้ตัวเองท้อ ไม่อยากเหนื่อยแล้วหยุดทำ หวังว่าจะไม่หมดแพสชั่น ตอนนี้เรายังใหม่มากในอาชีพนี้ ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ต้องเครียด เหมือนเรายังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกท้อ
ฝากถึงทุกคนที่ติดตามเรา
ฝากเพลง Lies นี่แหละค่ะ อยากให้คนฟังผลงานเรา เพราะเราเขียนออกมาจากใจ เราอยากให้คนที่โดนหลอกและโดนโกหกฟัง แล้วก็อินกับมัน โกรธไปกับมัน เสียใจได้ แต่อยากให้โกรธไปกับมันด้วยค่ะ ฝากติดตามมินนี่มิงซ์ตลอดไปเลยนะคะ
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Writer: Angkana Wongwisetpaiboon