‘สุพรทิพย์ ช่วงรังษี’ หรือทิปปี้ เซเลบริตี้และนักธุรกิจที่มีคาแร็กเตอร์ชวนมอง ถ้าใครเคยติดตามเธอในอินสตาแกรมคงเพลินไปกับสไตล์การแต่งตัวยามออกงาน รวมถึงชุดใส่อยู่บ้านของเธอ ทิปปี้บอกว่าเธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ชื่นชอบความสวยงาม และแฟชั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งตัว
ชอบแต่งตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ จำได้ว่าชอบแมตช์เสื้อผ้ากับแอ็กเซสเซอรี่ แบบเด็กๆ นะคะ ไปโรงเรียนชอบแมตช์โบผูกผมกับถุงเท้า คงเป็นกระบวนการเรียนรู้ของเราตั้งแต่เด็ก แรงบันดาลใจน่าจะมาจากสิ่งแวดล้อมโดยรวมที่บ้าน แล้วก็เทรนด์แฟชั่นของโลก คนเราถ้าเห็นสิ่งที่เขา input ใส่เรา ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าเราไม่ตามเทรนด์ ต้องยอมรับว่าเราตามเทรนด์เมืองนอกเพราะเขามีแฟชั่นมาก่อนเรา คนไทยใส่ผ้าผืนเดียวมาแต่โบราณกาล เราใส่ผ้านุ่ง ผ้าเตี่ยว แม้แต่สไบก็เป็นผ้าผืนเดียว
เพราะฉะนั้นเราเป็นชาติกำเนิดที่เรียบง่าย ในขณะที่ยุโรปเขา elaborage เสื้อผ้าหลายๆ ชั้นก็เป็นสิ่งที่เขาหล่อหลอมมาเป็นพันปี เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าเราไม่ตามแฟชั่นของเขาก็คงไม่ได้ สำหรับตัวเองนะคะ ยอมศิโรราบว่าเขาเก่งกว่า เวลาเขาออกคอลเลกชั่นอะไรก็จะดูว่าเหมาะกับเราไหม บางอย่างมันสวยจริงๆ แต่ไม่เหมาะกับอากาศบ้านเรา อันนั้นก็ต้องยอมแพ้อีก คำว่าอินสไปร์ก็น่าจะมาจากการเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ แต่สุดท้ายแล้วอินเนอร์เราสำคัญที่สุด ต่อให้แพงแค่ไหน ถ้าไม่ตรงกับเรา เราก็ไม่มั่นใจอยู่ดี
ปกติใช้เวลาแต่งตัวนานไหม
ไม่นานค่ะ เป็นคนที่ไม่ได้แต่งตัวนาน เป็นคนที่ไม่ได้เตรียมด้วยค่ะ อย่างเช่นวันนี้ก็เพิ่งจะหยิบชุดเมื่อตอนเที่ยง แล้วก็นั่งคุยกันว่าจะเอาชุดอะไรดี อย่างคุณแม่บ้านก็จะรู้ว่าเราแต่งหน้าเร็ว ทิปปี้ชอบแต่งหน้าเอง มีแค่ผมเท่านั้นแหละค่ะที่ยอมแพ้ศิโรราบ
เวลาไปงานเคยนึกไม่ออกไหมคะว่าจะใส่ชุดอะไร
บ่อยค่ะ เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเป็น เพราะเหมือนกับว่าเราไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมไหม จะเหมาะกับกาลเทศะไหม ต้องแต่งมากหรือน้อย เพราะบางครั้งเขาไม่ได้บอกมาว่า dress attire คืออะไร ได้แต่บอกสี แล้วเราต้องคาดเดาเอาเองว่า เอ๊ะ! มันเป็นงานค็อกเทลแล้วจะต้องชุดใหญ่ไหม บางทีก็เพลย์เซฟไปกลางๆ ปรากฏว่าใหญ่กันหมดก็มีค่ะ แต่ก็โอเคค่ะ สนุกดี
เวลาแต่งตัวมักคำนึงถึงอะไร อารมณ์ หรือดินฟ้าอากาศ
ขึ้นอยู่กับวาระโอกาสและงานที่เราจะไปมากกว่า อารมณ์เหรอคะ ถ้าอารมณ์ไม่ดีจะไม่ไปไหนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะไม่ได้แต่งตัว แต่จะนั่งสมาธิอยู่บ้าน แล้วก็ไม่ใช่คนโรแมนติกหวานแหววแบบจะต้องสีชมพูตลอดเวลา หรือก็ไม่ใช่คนที่ทะมัดทะแมงตลอดเวลา คือถ้าเราไปปีนเขา ไปล่องแก่ง ไปสกี เราก็ต้องทะมัดทะแมง แต่ถ้าเวลาอยู่บ้านเราก็จะเป็นแคชวลสบายๆ เลี้ยงห่านก็แคชวลไป เพราะห่านทำเสื้อผ้าพังไปหลายชุด ถ้าไปงานก็ขึ้นอยู่ว่า dress attire เขาเป็นแบบไหน
ใครๆ ต่างก็ชื่นชมสไตล์การแต่งตัวของคุณทิปปี้ มีเคล็ดลับอะไรคะ
ความจริงค่อนข้างเป็นคนเรียบนะคะ ชอบใส่อะไรง่ายๆ ขอแค่วัสดุดี เนื้อผ้าดี แต่ในความเรียบก็ไม่ใช่เป็นคนนิ่งขนาดนั้น อย่างเวลาไปงานอะไรจะคิดถึงการให้เกียรติทั้งเจ้าของงาน ผู้ร่วมงาน และคนที่เราจะพบเจอด้วย พอประกอบกับความชอบที่จะแต่งตัวสวยงาม และสนใจเรื่องแฟชั่น ทำให้เป็นองค์ประกอบรวมกันมากขึ้นในการที่แต่งออกมาแล้วก็มักจะคอมพลีตลุคที่จะไปงานได้
แอบสงสัยว่าทำไมไม่ทำแบรนด์ของตัวเองบ้าง
ไม่เด็ดขาด คือถ้าเป็นแบรนด์ตัวเอง เราก็ต้องใส่ของตัวเองใช่ไหมคะ เราจะไปใส่ของคนอื่นก็กระไรอยู่ ประกอบกับว่าเราชอบไปหมดทุกสิ่ง แล้วถ้าเกิดมันเป็นแรงบันดาลใจแล้วเราไปตัดคล้ายเขา เขาก็บอกว่าเราก๊อบปี้อีก เราคงลำบากใจล่ะมั้ง แต่ไม่ชอบทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว ธุรกิจที่บ้านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแฟชั่นใดๆ แต่เกี่ยวกับพวกอิฐหินปูนทรายและการเดินเรือ แล้วตอนออกมาทำธุรกิจของตัวเองก็เป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ให้ทุกแบรนด์ ถ้าเราไปทำแฟชั่นเอง ตายเลยค่ะ เป็นลูกค้าได้ไปนั่งฟรอนต์โรว์ที่ปารีสสบายใจกว่า
แฟชั่นในอดีตที่อยากให้หวนกลับมา
ไม่มีนะคะ ไปแล้วไปเลย (หัวเราะ) คือหมดเวลาของคุณแล้ว ตอนสาวๆ ชอบมากคือ เธียร์รี มูแกลร์ (Thierry Mugler) ชอบที่สุด แบบว่าคนอะไรทำคัตติ้งได้มหัศจรรย์ขนาดนี้ เราอ่านแบรนด์ยังไม่ออกเลย มูเลอร์? มูเกลอร์? สารพัดจะเดา เพราะตอนนั้นยังไม่มีกูเกิล จำได้ว่าไปฝรั่งเศสตอนอายุยี่สิบต้นๆ เดินผ่านแต่ร้านปิด กลับไปอีกวันก็ซื้อชุดเขามาเจ็ดหมื่นกว่าบาท พอกลับโรงแรมก็รู้สึกว่าซื้อไปได้ยังไง แต่อีกวันกลับไปซื้ออีก รู้สึกว่าแพงนะ แต่ชอบมาก ในที่สุดพอแบรนด์นี้เข้ามาเมืองไทยก็มาจ้างเราทำงาน เขาบอกว่าเห็นเราใส่เดินไปเดินมา แล้วก็มาหาว่าเราคือใคร เสียดายมากที่เขาเพิ่งจากไป ตอนนี้ยังเก็บเสื้อผ้าเขาอยู่เลย คือเสื้อผ้าที่สวยมันไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คืองานอาร์ตในความคิดของเรา
การแต่งตัวแบบไหนที่ไร้กาลเวลา
เรียบง่าย แต่มีดีเทล เนื้อผ้าที่ดี คัตติ้งที่ดี สำหรับตัวเองนะคะ
สังเกตว่าคุณเป็นเซเลบริตี้ที่มีแต่คนชื่นชมให้ความสนใจ เหมือนอยู่ในสปอตไลต์ตลอดเวลา
การที่เราอยู่ในสปอตไลต์ ไม่ใช่เพราะเราเป็นมิสยูนิเวิร์ส ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนสวยจัดจ้าน น่าจะเริ่มจากการทำงานมากกว่า แล้วก็ไลฟ์สไตล์ เพราะในสมัยนั้นเราเป็นมนุษย์ทำงานที่แต่งตัว คือโดยปกติมันคนละขั้วกัน มนุษย์งานมนุษย์หัวสมองดีก็สมองดีไป แต่เราจะแต่งตัวไปด้วย เราอาจมีคาแร็กเตอร์ประมาณหนึ่ง ชอบที่จะแต่งตัวให้เหมาะสม การอยู่ในสปอตไลต์ก็ต้องกราบขอบพระคุณสื่อทุกคนนะคะที่ให้เกียรติ สัมภาษณ์เรื่องงานล้วนๆ
พอเวลาผ่านไป ตอนนี้สนุกมาก ทุกคนมีสื่อของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรือไอจี แต่เป็นคนเล่นเฟซบุ๊กไม่เก่งเลย ไอจีเนี่ยตอนแรกเป็นไอจีปิดนะ เพราะเอาไว้เก็บรูปตัวเอง แล้วตอนหลังก็มีเพื่อนหลายคนมารีเควสต์ เลยขี้เกียจจะนั่งรับแล้ว งั้นก็เปิดไปแล้วกัน ไม่เคยคิดหรอกว่าจะมีใครตามมากน้อย คิดว่าถ้าเขาเป็นเพื่อนเรา เขาก็มาตามเอง ในความคิดตัวเองตอนนั้นนะคะ แต่กลายเป็นคนไม่รู้จักก็มาตามเราด้วย เหมือนเป็นการแชร์กันไป ส่วนใหญ่คนจะ recognize เรื่องไลฟ์สไตล์มากกว่า เพราะเรื่องการแต่งตัวเชื่อไหมว่าให้ความสำคัญเป็นรอง คือเป็นคนให้ความสำคัญเรื่องการแต่งบ้านมากๆ แล้วเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวมาก ไม่ค่อยมีเพื่อนมาบ้าน แล้วก็ไม่ค่อยให้ใครมาบ้าน แบบไม่ใช่เป็นบ้านรับแขก แต่ก็ไม่ได้ไล่แขกนะ คือเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง
ชอบอยู่บ้าน ชอบแต่งบ้านตั้งแต่เด็กแล้ว ที่บ้านจะรู้กันว่าเป็นคนรักสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งได้มาจากคุณพ่อและคุณย่าคุณยายที่เป๊ะ ท่านสอนเรามา เราก็ดูเป็นตัวอย่าง ในชีวิตใช้เงินไปกับการแต่งบ้านมากที่สุด แต่การแต่งตัวก็รองลงมาไม่แพ้กัน อาจจะ 0.5 (หัวเราะ) เพราะชอบความสวยงาม เชื่อว่าคนเราต้องอยู่ในที่สวยงาม ตื่นขึ้นมาถ้าเจออะไรรกๆ เราคงไม่มีความสุข ตื่นเช้ามาชอบเจอดอกไม้ ความเป็นระเบียบ
ใครบ้างที่เป็นผู้หญิงเก่งในสายตาของเรา
ทุกคนเก่งหมด ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจใครนะคะ ทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนมีความเก่งในเรื่องของเขา อย่างชีวิตตัวเองถ้าอยู่กรุงเทพฯ คืออยู่กับหมาย (แม่บ้าน) ซึ่งมีความเก่งมากในแบบของเขา เขาไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วย แต่สามารถอ่านชื่อทุกแบรนด์ออกหมด ไม่เคยพลาด อย่างน้องทรายที่ทำผมให้วันนี้ก็เก่งเรื่องทำผมเพราะเป็นแฮร์สไตลิสต์ ทุกๆ คนเก่งหมดในเรื่องของตัวเอง เพราะฉะนั้นเปรียบกันไม่ได้ เราเองก็ไม่ได้เก่งเหมือนเขา เขาก็อาจจะมีจุดที่ไม่เหมือนเรา ต่างคนต่างมี strength ในแต่ละเรื่อง แล้วการรวมกันมันทำให้เกิด unity ขับเคลื่อนสังคมได้ เชื่อว่าอย่างนั้นนะคะ
เหมือนกับเรื่องการแต่งตัว บางทีได้ยินคนพูดว่าคนนี้แต่งตัวไม่สวย เราคิดในใจว่า เอ๊ะ! คุณเอาความสวยตรงไหนมาวัด ในเมื่อความสวยคือสากล และเป็นปัจเจก เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะสวยคนละแบบ แล้วถ้าทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด ความสนุกในโลกนี้คงจะหมดไปทันที
ถ้าคนเราอยากแต่งตัวให้ดูดี ควรจะต้องคำถึงถึงอะไรบ้าง
ในความเป็นจริงถึงแม้เราจะพูดว่าเราแต่งตัวเพื่อคนอื่น หรือแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานก็ตาม แต่ชีวิตจริงๆ ทุกสิ่งตอบโจทย์ตัวเองทั้งนั้นเลย ไม่มีใครหรอกค่ะที่ไม่ทำเพื่อตัวเอง จะมากจะน้อยคือตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความสุขแบบไหน เราก็จะทำแบบนั้น มีความสุขกับการแต่งตัว เราก็จะแต่งตัว และทุกอย่างก็คืออินเนอร์ของเราหมดเลย เพราะถ้าไม่สอดคล้องกับอินเนอร์ของเรา เราจะทำอะไรไม่ถูกไปหมดล่ะค่ะ เราอาจจะเดินแล้วตุปัดตุเป๋ไปมาเพราะแต่งแบบนี้แล้วไม่ใช่เราเลย หรือว่าไม่มีความมั่นใจ ในขณะเดียวกันถ้าเราสวมใส่อะไรที่เป็นตัวเอง เราจะทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจ
ความสุขที่แท้จริงในวันนี้
ความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับจิตวิญญาณของตัวเอง เพราะเราอยู่กับคนข้างนอกมาเยอะมาก ด้วยอาชีพการทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์และการตลาด เราต้องดูแลเรื่องมาร์เก็ตติ้ง การวางภาพลักษณ์แต่ละองค์กรเยอะ หัวสมองกับจิตวิญญาณเราไปอยู่กับสิ่งรอบตัวหมดเลย เราไม่เคยใช้เวลาอยู่กับอินเนอร์หรือภายในตัวเรา ช่วงสามปีที่ผ่านมาเราใช้เวลาตรงนี้เยอะมาก แต่ก่อนไปวัดเยอะ นั่งสมาธิเยอะ แต่ก็ได้ค้นพบว่าเรายังผิวเผินมาก
ปัจจุบันเราลึกมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะเราเข้าใจตัวเราเอง พอเราได้เข้าใจตัวเอง เรารู้สึกขอบคุณตัวเองปุ๊บ เราจะขอบคุณทุกสิ่งเลย แล้วเราจะเข้าใจทุกอย่างและอภัยให้ทุกสิ่งได้มากขึ้น เข้าใจทุกสิ่งได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเป็นคนทำงานแล้วโฟกัสและจะหงุดหงิดง่ายถ้ามันไม่เป็นตามแผน แต่ปัจจุบันเราอะไรก็ได้ ณ ตอนนี้เป็นชีวิตที่ดีมาก แต่ก็ยังต้องทำงานอยู่นะ
ตอนนี้ทำงานของครอบครัวค่ะ ทิ้งเขาไปตั้งนาน คือก่อนหน้านี้มีแต่เรื่องของตัวเอง เรามีบริษัทของเราเอง มีลูกน้องของเราเอง เราไม่ค่อยสนใจครอบครัวเลยทั้งที่เขาเป็นหลักให้เรา เขาซื้อทุกอย่างให้เรา แต่พอตอนหลังกลับไปถึงได้รู้ว่า โห ชีวิตที่นั่นดีจัง ชีวิตที่บางปะกงน่ะค่ะ คือออฟฟิศก็ไม่ไกล กลับบ้านรถก็ไม่ติด ตื่นมาก็สวยเหลือเกิน เห็นแม่น้ำ เราไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย แล้วค่าใช้จ่ายก็น้อย เพราะว่าไม่มีกิเลสล่อลวงเรา แล้วที่บ้านก็มีที่ปฏิบัติธรรมของตัวเอง เราได้ใช้เวลาปฏิธรรมเยอะขึ้นด้วย สรุปว่าชีวิตตอนนี้เป็นชีวิตที่ชอบมาก มันไม่มากไป ไม่น้อยไป มันอยู่ตรงกลาง