ยามที่เส้นแบ่งระหว่างเพศยิ่งเลือนรางลงทุกที ดูเหมือนว่าโลกนาฬิกาจะก้าวไปช้ากว่าความเป็นไปของยุคสมัย ทั้งที่น่าจะก้าวไปพร้อมๆ กับกาลเวลาที่หมุนไป ถ้ามองในแง่ฟังก์ชั่นแล้ว นาฬิกาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัดค่าเวลาตามการโคจรของดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่หมุนไปรอบดวงอาทิตย์ และมันก็ทำหน้าที่นั้นมานานนับศตวรรษแล้ว แต่จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากนั้นไหม
Roger Dubuis Excalibur Blacklight Rainbow Nomos Glashutte Ludwig Neomatik
เรามาถึงยุคที่ต้องคิดกันว่าเรายังต้องการนาฬิกาที่แบ่งแยกตามเพศ หรือเพื่อเพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างที่หลายๆ แบรนด์ทำการตลาดกันอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า ถ้าไม่นับเรื่องของสไตล์หรือความสวยงาม ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ไซส์ของนาฬิกากับขนาดข้อมือผู้ใส่มากกว่า ซึ่งอันที่จริงทางแก้ก็ง่ายมากหากนำเสนอผลงานออกมาหลายขนาด เช่น ไซส์เล็ก กลาง ใหญ่ แทนที่จะตั้งมั่นกับการกำหนดว่าโปรดักต์นี้ของผู้ชายหรือผู้หญิง
ณ ปัจจุบันนี้เริ่มมีหลายแบรนด์ที่เปลี่ยนรูปแบบในการทำตลาด เช่นคอลเลกชั่นใหม่ๆ ของคาร์เทียร์อย่าง Santos, Pasha, Tank ที่สร้างสรรค์ออกมาหลายไซส์ และเป็นที่ถูกใจทั้งชายและหญิง หรือแบรนด์โอเดอมาร์ ปิเกต์ที่นำเสนอคอลเลกชั่น 11.59 by Audemars Piguet ในขนาด 41 มม. ที่ตั้งใจให้สวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง (อันที่จริง คุณฟรองซัวส์ อองรี เบนนาห์เมียส ซีอีโอก็ไม่ได้ชอบคำว่านาฬิกายูนิเซ็กซ์สักเท่าไร เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “นาฬิกาก็คือนาฬิกา ไม่ใช่สำหรับผู้หญิง ไม่ใช่สำหรับผู้ชาย”)
63และนอกจากเรื่องไซส์แล้ว ก็มีหลายแบรนด์ที่พยายามทลายดีไซน์โค้ดที่ติดภาพจำว่าเหมาะกับเพศใดเพศหนึ่งลงไปด้วย เช่นแบรนด์อูโบลต์ ซึ่งนำเทรนด์นาฬิกาโอเวอร์ไซส์มาก่อนใคร ทั้งสำหรับตลาดผู้ชายและผู้หญิง ล่าสุดได้ก้าวข้ามกฎด้วยการนำเสนอเฉดสีชมพูที่เรียกว่า Millennial Pink ซึ่งสวมใส่ได้ทุกเพศแบบไม่มีเคอะเขิน ออกแบบโดยการาจ อิตาเลีย และหนุ่มมีสไตล์อย่าง ลาโป เอลคาน หรือถ้าลองมองบรรดาอัญมณีทั้งหลายที่ประดับลงบนนาฬิกาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่านาฬิกาเรือนนั้นถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิง ไม่เชื่อลองดูนาฬิกาเดรสวอทช์จากเพียเจต์ประดับเพชรแพรวพราวก็ได้ หรือผลงานใหม่ Excalibur Blacklight Rainbow จาก Roger Dubuis ซึ่งถ้าดูจากภายนอก สายสีขาว ขอบตัวเรือนแซฟไฟร์สีรุ้ง ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงชัวร์ๆ แต่ด้วยไซส์ 42 มม. ผู้ชายก็ใส่ได้สบายเหมือนกัน
หากยังจำกันได้ เมื่อปีที่แล้วกุชชี่ได้ปล่อยคอลเลกชั่น Grip ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากยุค ’70s และสเก็ตบอร์ด ต้องบอกว่าสมกับที่เป็นการมองโลกผ่านมุมมองของอเลสซานโดร มิเคเล ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ประจำแบรนด์ ซึ่งไม่ชอบแบ่งเพศให้กับงานดีไซน์อยู่แล้ว ประมาณว่า “ใครใคร่ใส่ก็ใส่เถิด”