หากใครยังไม่ทราบ ประวัติศาสตร์นาฬิกาของแอร์เมสเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1912 ดังจะเห็นได้จากภาพถ่ายลูกสาวทั้งสี่ของเอมิล แอร์เมส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแจ๊กเกอลีน ซึ่งสวมนาฬิกาพกรัดด้วยสายหนังไว้บนข้อมือ จนเมื่อปีค.ศ. 1928 แอร์เมสจึงได้เริ่มจำหน่ายนาฬิกาที่ใช้ชื่อแอร์เมสเป็นครั้งแรก ณ บูติกบนถนน โฟบูร์ก แซง ตอโนเร่ ที่กรุงปารีส และหลังจากนั้นห้าสิบปี ซึ่งตรงกับปีค.ศ. 1978 แอร์เมสจึงได้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาในเมืองเบียนน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ศูนย์กลางการผลิตนาฬิกาของโลก
หน้าปัดประทับตรา Hermès กว่าจะเป็นสายหนังอันประณีต ขั้นตอนการผลิตตัวเรือน กลไกของ Hermes ซึ่งพัฒนาโดยโรงงาน Vaucher
“การที่คนสวมใส่นาฬิกาแอร์เมสก็เพราะชื่นชอบในสไตล์ที่ดูคลาสสิกแต่ก็ไม่จริงจังเกินไป เป็นการสะท้อนตัวตนของผู้ชายและผู้หญิงที่เป็นอิสระจากข้อจำกัดของเวลา ดูสบายๆ และบางครั้งก็ดูสนุกด้วย เป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้เข้าไปสัมผัสกับเวลา โดยปล่อยใจให้สนุกกับมันแต่ไม่ได้พยายามควบคุมครับ” มร. โลรองต์ ดอร์เดต์ (Laurent Dordet) ซีอีโอของ La Montre Hermès เล่า ในโอกาสที่ทางเมซงเปิดตัวผลงานใหม่หลากรุ่นในปีที่สุดแสนจะท้าทายนี้ เราจึงขออนุญาตพูดคุยกับเขาถึงการสร้างสรรค์นาฬิกาอันเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของแอร์เมส
สำหรับแอร์เมสแล้ว นาฬิกามีความสำคัญอย่างไรถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แอร์เมสสร้างสรรค์
แอร์เมสสร้างสรรค์อ็อบเจ็กต์ซึ่งไม่ใช่ทั้ง fashion object และไม่ใช่ทั้ง cult object ครับ แต่เป็นอ็อบเจ็กต์ที่สร้างสรรค์ด้วยมือของช่างฝีมือเพื่อตอบสนองชีวิตของผู้ใช้ อ็อบเจ็กต์ซึ่งใช้ประโยชน์ได้และกำเนิดจากความเชี่ยวชาญนี้ยังแฝงไว้ด้วยความคาดไม่ถึง ทำให้ชีวิตแต่ละวันเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นและแปรเปลี่ยนให้บางช่วงเวลายิ่งพิเศษขึ้นกว่าเดิม และสำหรับแอร์เมส เวลาก็ถือเป็นอ็อบเจ็กต์อย่างหนึ่งเช่นกัน แอร์เมสถ่ายทอดธรรมชาติของเวลาออกมาด้วยคาแร็กเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร แทนที่จะวัดค่าเวลาโดยแบ่งเป็นช่วงๆ หรือพยายามควบคุมมัน แอร์เมสกลับเลือกที่จะนำเสนออีกด้านของเวลาเพื่อให้เข้าถึงความรู้สึกและความอัศจรรย์ใจ นั่นเป็นต้นกำเนิดของนาฬิกาที่ไม่เดินตามขนบ นอกจากจะสร้างขึ้นด้วยมาตรฐานชั้นสูงและทักษะฝีมือชั้นยอดแล้ว นาฬิกาเหล่านี้ยังช่วยให้จังหวะชีวิตอันเร่งรีบของเรากลับยิ่งเพลิดเพลินครับ”
นาฬิกาของแอร์เมสมีรุ่นที่ทำงานด้วยจักรกลซับซ้อนหรือ complication อยู่ด้วย สำหรับเมซงแล้ว คอมพลิเคชั่นที่สร้างสรรค์ขึ้นแตกต่างจากผลงานอื่นๆ ในตลาดอย่างไร
“ผมคิดว่า ด้วยการวิจัยพัฒนา วงการนาฬิกาได้แสวงหานวัตกรรม ความแม่นยำ และฟังก์ชั่นในการวัดค่าเวลาให้ดียิ่งๆ ขึ้นมาโดยตลอด แต่สำหรับแอร์เมส เราตีความเวลาต่างออกไป เป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความฝัน เป็นเพื่อนร่วมทาง และมอบความรู้สึกผ่อนคลาย เมซงไม่พยายามจำลองสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว แต่เราเลือกที่จะทำตามสัญชาตญาณของเราในการสร้างสรรค์นาฬิกาที่ไม่เพียงแสดงเวลาแต่ยังบอกเล่าเรื่องราวด้วย อย่างเช่นการสร้างสรรค์ห้าปัดย่อยเคลื่อนที่ในนาฬิกาหลายๆ หรือนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นเฉพาะตัวอย่างการหยุดเวลาใน Arceau Le temps suspendu หรือดีไซน์ที่ไม่เน้นความทางการแต่มีเอกลักษณ์อย่าง Galop d’Hermès, Cape Cod Shadow, Kelly และ Médor”
แล้วสำหรับคอลเลกชั่น Arceau มีความหมายต่อประวัติศาสตร์นาฬิกาของแอร์เมสอย่างไร
“อองรี ดอร์ริญีออกแบบคอลเลกชั่นอาร์โซไว้ในปี 1978 เป็นาฬิกาเรือนกลมผนวกเข้ากับขาตัวเรือนแบบอสมมาตรซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโกลนที่ใช้สำหรับการขี่ม้าและฟอนต์ตัวเลขที่ไม่เหมือนใคร นับแต่นั้นเราก็พัฒนาออกมาอีกหลายรุ่น ทั้งคอมพลิเคชั่น หรือเมติเยร์ดาร์ต อย่างรุ่น Arceau Le temps suspendu ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2011 และรุ่น Arceau L’heure de la lune หรือ Arceau Cheval ซึ่งดาวเป็นธีมเด่นในปีนี้”
ช่วยเล่าถึง Arceau L’heure de la lune วัสดุเฉดสีใหม่ให้ฟังได้ไหมคะ
“คอลเลกชั่นนี้เป็นการตีความการนำเสนอหน้าปัดย่อยแบบเคลื่อนที่ได้ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในวงการนาฬิกาครับ ปีที่แล้วเราผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นและได้รางวัล GPHG มาครอง ส่วนปีนี้เรานำเสนอหน้าปัดที่ตกแต่งด้วยอุกกาบาตลูนาร์ มาร์เชียน และแบล็กซาฮาร่า เป็นคอมพลิเคชั่นใหม่ที่ชวนฝันเพราะหน้าปัดจะเปลี่ยนไปทุกวันตามการเคลื่อนตัวของหน้าปัดย่อยที่ค่อยๆ บดบังดวงจันทร์และทำให้การดูเวลาสนุกขึ้นด้วย”
เดาว่านี่น่าจะเป็นนาฬิกาเรือนโปรดของคุณในปีนี้
“ผมชอบ Arceau L’heure de la lune หน้าปัดใหม่ที่ประดับด้วยหินจากนอกโลก มูนเฟสเป็นคอมพลิเคชั่นคลาสสิก แต่เรานำเสนอในมุมใหม่ที่สนุกขึ้นและด้วยวิธีที่ไม่ซ้ำแบบใคร และทำให้การดูเวลาสนุกขึ้น เหมือนมีดาวเทียมสองดวงโคจรอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาของเรา”
