Tuesday, November 12, 2024

มาดูกันว่า…มีรูปทรงของนาฬิการุ่นไหนที่เป็นไอคอนของโลกกันบ้าง

คอนาฬิกา (ตัวจริง) คงต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับไอคอนิก วอท์ช จากหลากแบรนด์ดัง แต่หากเป็นมือใหม่นั้น…เราแนะให้ลองติดตามทำความรู้จักกับเรื่องราวและงานดีไซน์ ที่ซ่อนกลไกเหนือชั้นจนเป็นที่ได้รับความนิยมอยู่เรื่อยมา


Rolex Datejust

ไม่มีใครไม่รู้จัก Rolex และเมื่อพูดถึงชื่อแบรนด์นี้หลายคนก็จะนึกถึงภาพของนาฬิการุ่น Datejust ทันทีจนสามารถเรียกว่าเป็นพิมพ์นิยมได้ สำหรับรุ่นผู้หญิงนั้น Datejust จะมีหลายขนาดตามชื่อรุ่น เช่น Datejust 34, Datejust 31 และ Lady-Datejust 28 ซึ่งในทุกขนาดนั้นก็มีหน้าปัดหลากสี ทั้งที่เป็นสีพื้นธรรมดาและสีสดใส เรื่อยไปจนถึงหน้าเปลือกหอยมุกหรือเปลือกหอยมุกสีดำ ฯลฯ หลักชั่วโมงก็มีทั้งแบบที่เป็นเลขโรมัน เลขอารบิก แบบเป็นขีดและแบบเป็นเพชร ประกอบกับสายแบบออยสเตอร์ที่ดูกึ่งสปอร์ตด้วยข้อสายขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วน 3 ชิ้น หรือสายแบบจูบิลลี่ที่มีข้อสายเล็กลงไปอีกและประกอบด้วยชิ้น
ส่วนจำนวนมากถึง 5 ชิ้นจนดูมีความเป็นเดรสมากยิ่งขึ้น สำหรับขอบตัวเรือนนั้นมีสองแบบด้วยกัน ได้แก่แบบเกลี้ยงและแบบฟลุตหรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าขอบหยักนั่นเอง

Cartier Tank

ปีนี้ Cartier ฉลองครบรอบ 100 ปีของนาฬิกา Tank ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความเป็นอาร์ตเดโคอย่างชัดเจนด้วยเส้นสายคมคาย ดูแตกต่างจากนาฬิกาพกหรือนาฬิกาข้อมือทรงกลมในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานถึงขนาดมีการเล่าขานกันว่าดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้ถอดแบบมาจากรูปทรงของรถถังเมื่อมองจากมุมบนลงมา จะเห็นเป็นตัวถังรถอยู่ตรงกลางและล้อตีนตะขาบอยู่ทางซ้ายและขวา และนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุที่ Cartier ตั้งชื่อนาฬิการุ่นนี้ว่า Tank โดดเด่นด้วยเข็มทรงดาบสีน้ำเงิน ตัวเลขโรมันที่รายล้อมอยู่ด้านนอกแถบนาทีลายรางรถไฟ และแซฟไฟร์สีน้ำเงินหนึ่งเม็ดที่ประดับอยู่บนเม็ดมะยมทรงเหลี่ยมหรือเม็ดมะยมทรงกลมที่มีตุ่มเล็กล้อม

Patek Philippe Nautilus

Nautilus เป็นนาฬิกา Patek Philippe ที่ใครๆ ก็ต้องการจะครอบครองในยุคปัจจุบัน คอลเลคชั่นนี้เพิ่งจะฉลองครบ 40 ปีไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง นอกจากชื่อที่สื่อถึงทะเลแล้วรูปลักษณ์ของการออกแบบโดยรวมก็ผูกพันกับเกลียวคลื่นด้วยเช่นกัน เพราะว่าหน้าปัดและขอบตัวเรือนมีรูปทรงคล้ายกับหน้าต่างที่อยู่บนด้านข้างของลำตัวเรือ Nautilus ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นนาฬิกาสปอร์ตโดยเฉพาะจึงมาพร้อมกับสายโลหะตั้งแต่แรก จนกระทั่งมีการเพิ่มเติมสายหนังตลอดจนมีการใช้โลหะมีค่าอย่างเช่นทองหรือมีการประดับเพชรในภายหลัง ในปีนี้ Patek Philippe มีนาฬิกา Nautilus รุ่นใหม่สำหรับผู้หญิงเป็นตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 35.2 มม. ใส่ง่ายสบายๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่แตกต่างจากรุ่นผู้ชายเป็นพิเศษคือลวดลายเซาะร่องบนหน้าปัดซึ่งไม่ได้เป็นเส้นขวางแนวนอนตรงๆ เหมือนในรุ่นของผู้ชาย แต่มีการดัดให้พลิ้วโค้งเหมือนคลื่นบนผิวน้ำ หน้าปัดสองสีใหม่ในปีนี้ก็คือสีขาวและสีเทาเข้ม

Audemars Piguet Royal Oak

จุดเด่นของ Royal Oak อยู่ที่ขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมล้อมรอบหน้าปัดทรงกลม ตัวเรือนก็มีทรวดทรงพอกันกับขอบ และไม่ว่าจะสวมใส่กับสายโลหะหรือสายหนังก็จะดูเชื่อมต่อแนบสนิทกับตัวเรือนจนเป็นเหมือนกำไล เราคงไม่อาจนับได้ว่าที่ผ่านมา Audemars Piguet ผลิต Royal Oak ออกมาแล้ว แต่เราทุกคนก็ยังไม่มีใครเบื่อ สำหรับปีนี้ Audemars Piguet ทำเก๋เป็นพิเศษด้วย Royal Oak รุ่นสำหรับผู้หญิงในตัวเรือนไวท์โกลด์หรือโรสโกลด์ขนาด 33 มม. ประดับเพชรเป็นลายคลื่นต่อเนื่องกันทั้งบนหน้าปัด ขอบตัวเรือนและสายนาฬิกา

Breguet Reine de Naples

ชื่อและรูปทรงของนาฬิกา Reine de Naples มีที่มาจากนาฬิกาข้อมือเรือนแรกที่อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับพระนางคาโรลีน มูราต์ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเนเปิ้ลส์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเราจะเห็นว่านาฬิกาในคอลเลคชั่นนี้มีแต่ที่ดูหรูหราและอ่อนช้อย สมกับความเป็นผู้ดีตามแบบฉบับของยุโรปเมื่อวันวาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Reine de Naples จะมีลูกเล่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความที่นาฬิกา Reine de Naples เป็นรูปทรงรีและมีฐานด้านล่างที่กว้างกว่าด้านบนเล็กน้อย หน้าปัดบอกเวลาเลื่อนลงมาอยู่ด้านล่าง เราจึงเห็น Breguet ใช้พื้นที่ที่เหลือด้านบนอย่างสร้างสรรค์ เช่นในปีหลังๆ นี้ก็จะมีหน้าปัดที่ดูสดใสแปลกตาด้วยเลขอารบิกหรือเลขโรมันขนาดใหญ่ที่ปูเต็มพื้นที่ นอกจากการใช้เปลือกหอยมุกสีต่างๆ มาทำเป็นหน้าปัดแล้วก็ยังมีการใช้เปลือกหอยอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีความหนามากกว่ามาแกะสลักจนเป็นรูปทรงที่ดูมีมิติอย่างเหลือเชื่อด้วย

Jaeger-LeCoultre Reverso

Reverso คือคอลเลคชั่นที่เด่นและดังที่สุดของ Jaeger-LeCoultre เพราะตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ได้รับการออกแบบมาให้พลิกกลับหลังได้เพื่อโชว์ลวดลายบนฝาหลังหรือเพื่อโชว์หน้าปัดที่สอง แล้วแต่การออกแบบของแต่ละรุ่น แรกเริ่มเดิมทีนั้น Reverso เป็นนาฬิกาสำหรับผู้ชาย และเหตุที่ออกแบบให้ตัวเรือนหมุนได้เช่นนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ของนายทหารอังกฤษที่ไม่ต้องการถอดนาฬิกาวางเอาไว้ขณะเล่นกีฬาโปโล แต่ก็กลัวว่าจะกระทบกระทั่งจนกระจกแตกเสียหาย ช่วงเวลานั้นคือ ปี ค.ศ. 1931 ซึ่งนาฬิกาโดยมากก็ยังเล็กๆ และบางๆ กัน ในภายหลังเมื่อนาฬิกาสปอร์ตสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นในรูปทรงที่บึกบึนมากกว่าหรือสวมใส่ด้วยสายโลหะเป็นหลัก Reverso ที่มักสวมกับสายหนังจึงเข้าสู่ยุคแห่งความเป็นนาฬิกาเดรสหรือลำลองโดยปริยาย

Omega Constellation

ชื่อ Constellation นั้นมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 แล้วโดย Omega สงวนไว้ใช้สำหรับนาฬิกาเดรสที่ใช้เครื่องระดับความเที่ยงตรงสูงโดยเฉพาะ ฝาหลังจะมีรูปหอดูดาวซึ่งที่จริงแล้วก็คือสถานที่ทดสอบความเที่ยงตรงของนาฬิกาในสมัยก่อนนั่นเอง แต่นาฬิกา Constellation ในช่วงเริ่มแรกมีรูปทรงกลมเหมือนนาฬิกาปกติ กว่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนให้ดูแปลกแยกออกไปก็ในยุคซิกซ์ตี้ส์และเซเวนตี้ส์ และเข้าสู่โฉมปัจจุบันในปี ค.ศ. 1982 เอกลักษณ์ขอยู่ที่การยกเอาเลขโรมันที่ใช้เป็นหลักชั่วโมงไปไว้บนขอบตัวเรือน (ยกเว้นรุ่นที่มีเพชรประดับบนขอบตัวเรือน) และเขี้ยวคู่ทางด้านซ้ายและขวาที่ดูราวกับว่าทำหน้าที่ยึดขอบตัวเรือนไว้กับตัวเรือน นาฬิการุ่นนี้มีสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ในตลาดไทยและตลาดอื่นส่วนมากในโลกยกเว้นจีนและญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนว่าของผู้หญิงจะประสบความสำเร็จมากกว่าโดยตลอด

Piaget Limelight Gala

เราต้องสารภาพว่าเราเพิ่งรู้จัก Limelight Gala ตั้งแต่ที่ Piaget นำกลับมาทำใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้ แต่ที่จริงนั้น Piaget เคยมี Limelight Gala อยู่ในตลาดแล้วเป็นครั้งแรกในยุคเซเวนตี้ส์ จุดเด่นที่สุดอยู่ที่ขาตัวเรือนที่ดูเหมือนจะมีเพียงแค่สองขา ไม่ใช่สี่ขาแบบนาฬิกาอื่นๆ ลักษณะเหมือนริบบิ้นที่โอบล้อมหน้าปัดทรงกลมอยู่แล้วตวัดขึ้นไปทางด้านบนซ้ายเส้นหนึ่งและตวัดลงมาทางด้านล่างขวาเส้นหนึ่ง ถือเป็นการออกแบบที่สง่างาม อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญก็คือสายนาฬิกาแบบมิลานีสหรือสายเมชที่เหมือนนำเอาโลหะซึ่งในกรณีนี้เป็นทองมาถักทอให้เป็นแถบยาวที่อ่อนช้อยและขยับไปมาได้คล้ายผ้า และในการใช้งานจริงนั้นเจ้าของนาฬิกาสามารถเลื่อนบานพับแบบสไลด์เพื่อปรับความยาวให้ใส่สบายพอดีตามต้องการด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบสายแนวนี้ก็สามารถซื้อ Piaget Limelight Gala รุ่นที่มากับสายซาตินสีดำหรือสีขาวแทนได้ก็จะดูหวานๆ ไปอีกแนวหนึ่ง

Van Cleef & Arpels Cadenas

ด้วยความที่เมซงแห่งนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิวเวลรี่มาก่อนที่จะจับงานนาฬิกา จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นบางคอลเลคชั่นของเขามีความเป็นเครื่องประดับนำมาก่อนอย่างเช่น Cadenas นี้ที่มีรูปทรงคล้ายกำไลสายโซ่งูคู่ที่คล้องกับตัวเองและมีหน้าปัดบอกเวลาเล็กๆ ซ่อนอยู่ โดยที่หน้าปัดนี้จะเอียงเข้าหาตัวเจ้าของนาฬิกาเท่านั้นจนคนอื่นอาจไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือนาฬิกา เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้เห็น Cadenas ในวันนี้ก็คงจะเดาไม่ถูกว่าดีไซน์ดั้งเดิมนั้นถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 แล้ว Cadenas ในปัจจุบันมีทั้งแบบที่สวมใส่ด้วยสายโซ่งูคู่ตามแบบฉบับดั้งเดิม และแบบสายหนังจะเข้ที่ดูทันสมัยและใส่ในชีวิตประจำวันได้ง่ายยิ่งขึ้น ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วที่จะต้องเลือกรับเป็นไวท์โกลด์ เยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์ และเลือกว่าจะให้อัญมณีประดับมากหรือน้อยเพียงใด

Other Articles